กรุงเทพฯ 20 ม.ค. – “ชูวิทย์” แฉต่อ หลังอัยการสรุปสำนวนฟ้อง ตู้ห่าวและพวก มีขบวนการทำลายหลักฐาน เสนอผลประโยชน์ ปิดปากพยานในคดี จากผู้ต้องหาที่ได้รับการประกันตัว และท้ายสุดคดีนี้ ศาลอาจยกฟ้อง
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตนักการเมือง แถลงว่า หลังอัยการมีคำสั่งฟ้องนายชัยณัฐร์หรือ ตู้ห่าว และพวกรวม 9 ข้อหา ยาเสพติด-ฟอกเงิน-อาชญากรรมข้ามชาตินั้น ขณะนี้มีขบวนการทำลายพยานหลักฐานเกิดขึ้นแล้ว โดยการเสนอผลประโยชน์ เงินทอง ปิดปากพยานคดี ไม่ไปให้การที่ศาล หากไปให้การจะให้การปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็น ส่วนพยานที่ให้การแล้วก็ขอให้การใหม่ หรือสุดท้ายให้พยานหายตัวไป ไม่ต้องไปให้การต่อศาล
โดยมีการต่อสายถึงพยานบุคคลสำคัญ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 444 ปาก ในคดีตู้ห่าวที่ถูกโน้มน้าวให้ถอนตัวจากการเป็นพยาน โดยพยานรายดังกล่าว เปิดเผยว่า ตนได้ไปให้การกับอัยการสูงสุดแล้ว รวมทั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่ไม่ทราบว่าในส่วนของฝ่ายจำเลยรู้ได้อย่างไรว่าตนไปให้การในคดีดังกล่าว จึงได้พยายามโน้มน้าวให้ถอนตัวออกจากการเป็นพยาน แต่ไม่ได้มีการเสนอเป็นตัวเลข
จากข้อมูล พยานที่ถูกโน้มน้าว ขณะนี้มี 2 คน คนแรกคือคนที่เห็นการถอนเงินออกจากบัญชี และคนที่ 2 เป็นพยานของโรงแรม ซึ่งตนไม่สามารถให้รายละเอียดมากกว่านี้ได้ เนื่องจากขณะนี้พยานทั้ง 2 คน อยู่ในการคุ้มครองของตำรวจ นอกจากนี้ยังพบพยานอีก 1 คน ถูกข่มขู่จนเกิดความกลัวและขณะนี้ไม่สามารถติดต่อได้
โดยนายชูวิทย์เชื่อว่า ท้ายสุด คดีของนายตู่ห่าว อาจยกฟ้อง เพราะการสืบพยาน 444 ปาก จะต้องใช้ระยะเวลา นานกว่า 2 ปี และระหว่างนั้น มักมีขบวนการทำลายพยานหลักฐาน ซึ่งคนที่ทำลายพยานหลักฐานเชื่อว่าเป็นคนที่ได้รับการประกันตัวไปก่อนหน้านี้ จึงเรียกร้องให้ศาล ถอนประกัน ประกอบกับเนื่องจากจะต้องมีการเพิ่มข้อกล่าวหาอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งปกติการเพิ่มข้อหาจะต้องถูกถอนประกัน นอกจากนี้ ยัง มีเจ้าหน้าที่รัฐคอยสนับสนุนและอยู่เบื้องหลัง ทำให้คดีบิดเบี้ยวหรือล่าช้าทำให้พยานหรือหลักฐานเสียหายหรือเปลี่ยนแปลง เพราะจำเลยเป็นผู้มีอิทธิพลและมีเงิน จึงทำให้มีโอกาสในการต่อสู้และโน้มน้าวพยาน
นายชูวิทย์ ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่าการตั้งข้อหาฟอกเงินล่าช้ากับตู้ห่าวจะทำให้มีโอกาสเคลื่อนย้ายถ่ายเททรัพย์สินออกไป เพราะที่ผ่านมาทรัพย์สินของตู้ห่าวที่ตรวจพบประมาณ 8,000 ล้านบาท กลับไม่มีเงินสดแม้แต่บาทเดียว มีเพียงเงินในบัญชีแค่ 1 แสนบาทเท่านั้น .-สำนักข่าวไทย