“พ.ต.อ.วิรุตม์” จี้ปฏิรูประบบตำรวจ

กรุงเทพฯ 7 ต.ค. – อดีตรอง ผบก.จเรตำรวจ จี้ปฏิรูประบบตำรวจ ทำชั้นผู้น้อยมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนก่อเหตุรุนแรง แนะสอบประวัติเชิงลึก สกัดตำรวจเอี่ยวยาเสพติด พร้อมทบทวนการพกปืน


พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตรอง ผบก.จเรตำรวจ และเลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ให้ความเห็นกรณีอดีตตำรวจก่อเหตุกราดยิงศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอุทัยสวรรค์ บ้านห้วยนาหลวง ต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู ระบุว่าเหตุกราดยิงหรือการสังหารหมู่ ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ก่อเหตุ ก็เป็นเหตุการณ์สะเทือนใจ และยังเป็นการก่อเหตุกับบุคคลที่ไม่ได้เป็นเป้าหมายหรือมีความโกรธแค้นกันมาก่อน ลงมือกับเหยื่อที่เป็นเด็กเล็ก เป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์ และผู้ก่อเหตุครั้งนี้เป็นอดีตตำรวจถูกไล่ออกจากราชการ ยิ่งน่าสะเทือนใจ

พ.ต.อ.วิรุตม์ ต้องตั้งคำถามว่าคนนี้เป็นตำรวจมาได้อย่างไร เพราะมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติดตั้งแต่ก่อนเป็นตำรวจ เมื่อเป็นตำรวจและอยู่ในราชการ 10 ปี ก็ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด แม้การคัดกรองก่อนเข้ามาเป็นตำรวจ เมื่อสอบข้อเขียน สอบสัมภาษณ์ผ่าน หากไม่มีประวัติอาชญากรรม หรือเคยถูกดำเนินคดี ก็เข้ารับราชการได้ แต่การตรวจแค่ประวัติอาชญากรรมที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ไม่เพียงพอ จะต้องมีการสอบประวัติเชิงลึก เนื่องจากที่ผ่านมาไทยมีผู้ก่อเหตุอาชญากรรมแล้วไม่ถูกจับดำเนินคดีจำนวนมาก ทำให้คนที่เคยก่อเหตุ แต่ไม่มีประวัติถูกดำเนินคดีก็สามารถเข้ารับราชการตำรวจได้ นี่คือจุดอ่อน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะต้องเข้มงวด ในการคัดกรองคนให้มากขึ้น และอาจต้องสืบประวัติย้อนไปถึงตอนวัยเด็ก


พ.ต.อ.วิรุตม์ ระบุว่าปกติตามหน้าที่ตำรวจบางหน่วยมีความเกี่ยวพันกับยาเสพติดอยู่แล้ว เพราะต้องทำหน้าที่จับกุม ทั้งผู้เสพ ผู้ค้า ซึ่งก็มีตำรวจไม่น้อยที่เคยทดสอบเสพยา แต่ต้องเข้าใจว่าการเสพยาเสพติด กับการติดยาเสพติดเป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งมีบางคนทดสอบเสพยาเสพติด แต่ก็ไม่ติด ขณะที่มีบางส่วนเสพจนติด ซึ่งในวงการตำรวจจะรู้กัน แต่ไม่มีการจัดการอะไรจริงจัง อย่างมากผู้บังคับบัญชาแค่ตักเตือน ขณะเดียวกันตำรวจบางนายเป็นคนดี แต่กลายเป็นคนชั่วเพราะระบบ จะเห็นว่าตำรวจไทยเข้ารับราชการง่าย แต่ออกยาก ด้วยระบบวัฒนธรรมการปกครอง การบังคับบัญชา ทำให้ตำรวจชั้นผู้น้อยตกเป็นมือไม้ของผู้บังคับบัญชา ทำให้มีผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนไม่น้อยที่ขาดความศรัทธาในผู้บังคับบัญชาทุกระดับ ไม่มีความหวังในการเจริญก้าวหน้า ทำงานแค่ไหนก็ไม่ได้รับความเป็นธรรม ทั้งเรื่องขั้นเงินเดือน การแต่งตั้งโยกย้าย ความสิ้นหวังเหล่านี้ ทำให้เกิดพฤติกรรมเบี่ยงเบน ถ้าเป็นคนดีก็อาจจะลาออกไป แต่หากเป็นคนไม่ดี มีจิตใจชั่วร้ายอยู่แล้ว ก็อาจมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปได้ง่าย เช่น หันไปค้ายา

ส่วนกรณีอดีตตำรวจนำอาวุธปืนไปก่อเหตุ พ.ต.อ.วิรุตม์ ระบุว่าการจะคัดคนเข้ามารับราชการตำรวจต้องสอบประวัติลึกกว่าข้าราชการทั่วไป ทั้งการทดสอบสภาพจิตใจ ทัศนคติของการเป็นผู้รักษากฎหมาย การรักษาความยุติธรรม และที่สำคัญต้องมีการทบทวนการพกพาและการใช้อาวุธปืนของตำรวจ จะเห็นว่าทุกวันนี้การเป็นตำรวจเหมือนมีใบอนุญาตพกปืนไปในตัว เป็นปืนที่มีใบอนุญาต หรือไม่มี ไม่ทราบ แต่พกพาไปไหนมาไหนได้ ทั้งปืนราชการนำกลับบ้านก็ได้ หรือปืนส่วนตัว นำมาใช้ในราชการก็ได้ ออกเวรแล้วก็พกปืนไปนั่งสังสรรค์กับเพื่อน ซึ่งสิ่งเหล่านี้รัฐบาลต้องหามาตรฐานควบคุมตรวจสอบ คนพกพาอาวุธปืนก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ทั้งการขออนุญาต การพกพา ไม่ใช่ถือว่าความเป็นตำรวจคือใบอนุญาตพกปืน หลายคร้งมีการตั้งคำถามถึงตำรวจที่ออกเวร ก็มีการพกพาปืนทุกคน ถูกต้องหรือไม่ หรืออ้างว่าตนเองจะไม่ปลอดภัย แต่ทุกคนต้องอยู่ใต้กฎหมายของรัฐ เหมือนประชาชนคนอื่นที่ไม่ได้พกปืน เป็นเรื่องที่ต้องทบทวนทั้งการใช้และพกพาอาวุธปืน

พ.ต.อ.วิรุตม์ ยังระบุถึงสัญญาณบอกเหตุ เพราะผู้ก่อเหตุเคยถูกผู้บังคับบัญชายืดอาวุธปืนประจำกาย และเคยมีพฤติกรรมนำปืนไปข่มขู่ผู้อื่น แสดงถึงสิ่งบอกเหตุบางอย่าง ซึ่งตอนนั้นควรมีการถอนใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืนด้วย แต่น่าเห็นใจ เพราะผู้ที่มีอำนาจในการออกใบอนุญาต คือกรมการปกครอง เมื่อตำรวจขอซื้อปืน โดยเฉพาะปืนสวัสดิการที่ซื้อกันมาก ถ้าไม่อนุญาต ก็มีปัญหาตามมาอีก กลายเป็นไม่เชื่อว่าตำรวจมีความประพฤติดีที่จะมีอาวุธปืนได้ ซึ่งก็มีปัญหาเรื่องนี้อยู่ เมื่อการเป็นตำรวจกลายเป็นใบอนุญาตพกอาวุธปืนไปในตัว ไม่จำเป็นต้องขอใบอนุญาตพกอาวุธปืน ทำให้มีคำถามตามมาว่าจะตรวจสอบควบคุมอย่างไร เพราะคนที่จับกุมดำเนินคดีก็เป็นตำรวจ ที่ผ่านมาเคยดำเนินการหรือไม่ ซึ่งการพกพาและใช้อาวุธปืนต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน แม้จะมีสิทธิ์ในการพกพา แต่ต้องอยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น ไม่ใช่ว่าแต่งเครื่องแบบตำรวจจะมีสิทธิ์พกพาอาวุธปืนได้ เป็นเรื่องใหญ่ที่จะต้องทบทวน


เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ระบุอีกว่านอกจากพฤติกรรมส่วนตัวของผู้ก่อเหตุยังต้องมองภาพรวมของระบบเรื่องการปฏิรูปตำรวจ โดยเฉพาะการที่ตำรวจได้มีโอกาสบรรจุรับราชการในจังหวัดภูมิลำเนา เช่น กรณีของผู้ก่อเหตุมีภูมิลำเนาในจังหวัดหนองบัวลำภู แต่เริ่มต้นเข้ารับราชการที่ สน.ยานวา กรุงเทพฯ เมื่อมาบรรจุต่างถิ่น ก็จะมีปัญหาหลายด้าน ทั้งเรื่องครอบครัว เศรษฐกิจ การดำรงชีวิต และไม่มีความสัมพันธ์กับพื้นที่ เป็นอีกปัจจัยที่นำไปสู่ความเบี่ยงเบนหันไปทำผิดกฎหมาย ขณะเดียวกันควรให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่เป็นหัวหน้าส่วนราชการของจังหวัดต้องมีอำนาจในการปกครองตำรวจตามลำดับชั้น ต้องให้อำนาจจังหวัดในการรับสมัครตำรวจเอง หรือเปิดรับสมัครในภูมิภาค คนที่สมัครก็ต้องมีภูมิลำเนาในจังหวัดเท่านั้น เมื่อบรรจุแล้วก็เดือดร้อนขอย้ายกลับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เฉพาะปัญหาส่วนบุคคล ต้องพูดถึงปัญหาเชิงระบบด้วย จากที่ตนเองได้สัมผัสมาตำรวจที่ได้บรรจุในภูมิลำเนาส่วนใหญ่มีความสุข เงินทองพอใช้ การย้ายตำรวจภูมิภาคจากที่หนึ่งไปอีกที่ต้องยกเลิกให้เติบโตได้ในจังหวัดนั้น ๆ.–สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เพลิงไหม้อาคารกองบัญชาการกองทัพไทย

กทม. 18 ก.ย.-เพลิงไหม้อาคารกองบัญชาการกองทัพไทย คาดไฟฟ้าลัดวงจรและลุกลามไปยังห้องข้างเคียง ไม่พบผู้บาดเจ็บหรือความเสียหายร้ายแรง เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 18 ก.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดเหตุห้องอาหาร 50 จากตู้ควบคุมวงจรไฟฟ้ามีเพลิงไหม้ (ไฟฟ้าลัดวงจร) และลุกลามไปยังพื้นที่ข้างเคียงตึกกองบัญชา บกทท. บริเวณชั้น6 ข้างห้อง เสธนาธิการทหาร เจ้าหน้าที่เวรยาม และสารวัตรทหาร ได้ช่วยกันใช้ถังดับเพลิงในการดับเพลิงแต่ไม่สามารถเข้าถึงต้นเพลิงในการระงับดับไฟได้ จึงได้ประสานรถตับเพลิงและขอส่วนสนับสนุนรถดับเพลิง นทพ. มาช่วยในการระดับดับเพลิง โดยมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้เข้าตรวจสอบและดำเนินการระงับเหตุในทันที เบื้องต้นสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ พล.ต.วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น คาดว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร ทั้งนี้ ยังไม่พบผู้ได้รับบาดเจ็บหรือความเสียหายร้ายแรงต่อโครงสร้างอาคารแต่อย่างใด กองบัญชาการกองทัพไทย ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างใกล้ชิด และจะรายงานความคืบหน้าให้ประชาชนและสื่อมวลชนรับทราบต่อไป.-313.-สำนักข่าวไทย

โผ ครม. “อนุทิน” ลงตัว ไม่ถูกตีกลับ

กทม. 18 ก.ย.-โผ ครม. “อนุทิน” ลงตัว ไม่ถูกตีกลับ ขณะ “นายกฯ หนู” ยังนั่งดินเนอร์อาหารอีสานอย่างสบายใจ ท่ามกลางข่าวลือ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 17 ก.ย. มีกระแสข่าวลือว่ากระบวนการทูลเกล้าฯ รายชื่อคณะรัฐมนตรี ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี มีปัญหา ถูกตีกลับ เนื่องจากพบรายชื่อว่าที่รัฐมนตรีบางคน ติดปัญหาคุณสมบัตินั้น ล่าสุด แหล่งข่าว ยืนยันว่า รายชื่อคณะรัฐมนตรี ที่นำทูลเกล้าฯไปนั้น ไม่ได้มีปัญหาแต่ย่างใด ทุกอย่างลงตัวเรียบร้อยตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมาแล้ว โดยเรื่องคุณสมบัติ ได้ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามาแล้ว ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ในช่วง ค่ำวันนี้ (17 ก.ย.) ปรากฏภาพ นายอนุทิน นั่งรับประทานอาหารอีสานอย่างสบายใจ ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งกับคนใกล้ชิด ท่ามกลางข่าวลือที่เกิดขึ้น.-319.-สำนักข่าวไทย

“รังสิมันต์” เบรกกัมพูชากลางวง AIPA หลังเสนอวาระเร่งด่วนปมเปิดด่าน

มาเลเซีย 17 ก.ย.- “รังสิมันต์” เบรกกัมพูชา กลางวงประชุม AIPA หลังเสนอวาระเร่งด่วนประเด็นขัดแย้งไทย-กัมพูชา หารือปมเปิดด่าน หวั่นเป็นประเด็นการเมือง-ละเอียดอ่อน ชี้ มีกระบวนการ IOT และ GBC อยู่แล้ว นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะผู้แทนรัฐสภาไทยในการประชุมคณะกรรมการบริหาร AIPA กล่าวถึงข้อเสนอของกัมพูชาผ่านเวที AIPA ว่าเป็นการเสนอในระยะเวลากระชั้นชิดเป็นช่วงสุดท้าย ที่เปิดให้ประเทศสมาชิกเสนอวาระเร่งด่วนได้ ดังนั้นทีมไทยแลนด์ที่นำโดยนายฉลาด ขามช่วง เมื่อทราบ ข้อเรียกร้องของกัมพูชาจึงได้เตรียมการในเรื่องนี้ ซึ่งจากเดิมได้เรียกร้อง 2 ข้อ คือ 1. เรื่องเฉลยศึก ที่ทหารกัมพูชาถูกควบคุมตัว ในช่วงเวลาที่มีการปะทะ และ 2. เรื่องการเปิดด่านชายแดน แต่ท้ายที่สุดทางกัมพูชากลับเรียกร้องบนเวที AIPA เพียงเรื่องการเปิดด่านชายแดนเท่านั้น จึงรู้สึกแปลกใจว่าทำไมถึงหยิบยกมาเพียงเรื่องนี้ ในเมื่อกระบวนการของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว หรือ IOT ผ่านไป และค่อนข้างราบรื่น ดังนั้นการหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาพูดคุยอีกครั้ง จากการแก้ปัญหาแบบทวิภาคี ระหว่างไทย และ […]

แม่ใจสลาย รับร่างลูกสาววัย 2 เดือนถูกพิตบูลขย้ำ ส่งชันสูตร

อุทัยธานี 17 ก.ย. – ครอบครัวเศร้า ติดต่อรับร่างลูกสาววัย 2 เดือน ส่งชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิต หลังถูกสุนัขพิตบูลลากไปขย้ำหัว ขณะแม่ไปเก็บของเก่าภายในโรงสี เจ้าของคาดเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของเล่น นายฉัตรมงคล สุวรรณเศรษฐ์ เจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัยจังหวัดอุทัยธานี พร้อมด้วยมารดาของ ด.ญ.กัญญาภัทร อายุเพียง 2 เดือน ผู้เสียชีวิตจากการถูกสุนัขพันธุ์พิตบูลกัด รวมถึงญาติ เดินทางไปรับศพที่โรงพยาบาลหนองฉาง จ.อุทัยธานี ก่อนนำร่างส่งชันสูตร หาสาเหตุอย่างละเอียดอีกครั้งที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จ.นครสวรรค์ ทั้งนี้ เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเวลา 15.00 น. วานนี้ (16 ก.ย.) ที่โรงรถของบ้านหลังหนึ่ง พื้นที่ หมู่ 15 บ้านโรงสีใหม่ ต.ทุ่งโพ อ.หนองฉาง จ.อุทัยธานี โดยเมื่อเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพบร่างเด็กน้อย อยู่บริเวณรางระบายน้ำ เจ้าของบ้านนำร่างเด็ก ส่งโรงพยาบาลไปก่อนหน้านี้ แต่เสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยที่เกิดเหตุ ยังพบคราบเลือดและร่องรอยลากยาวราว 6 เมตร ไปถึงรางระบายน้ำ นอกจากนี้ ยังพบรถเข็นเด็ก พร้อมของเล่น […]

ข่าวแนะนำ

“อนุทิน” รับ “อันวาร์” ยกหูเชิญถกอาเซียน ยันไม่มีใครแทรกแซงรัฐบาลไทยได้

พรรคภูมิใจไทย 19 ก.ย.- “อนุทิน” รับ “อันวาร์” ยกหูหาเชิญร่วมประชุมอาเซียน ยันไม่มีใครเคลียร์-แทรกแซงรัฐบาลได้ หลัง “ฮุน มาเนต” ขอมาเลเซียเป็นตัวกลาง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกมาเปิดเผยว่าได้โทรศัพท์พูดคุยเป็นการส่วนตัว โดยนายอนุทิน ยอมรับว่า เมื่อวานนายอันวาร์ได้โทรมาหา พูดคุยถึงการเชื้อเชิญว่า ถ้าหากตนได้รับตำแหน่งเรียบร้อยแล้วคงจะได้พบกันโดยเร็วที่สุด ซึ่งจะเป็นการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในช่วงเดือนหน้า ส่วนการพูดคุยถึงสถานการณ์ชายแดนจังหวัดสระแก้ว นายอนุทิน ระบุว่า ไม่ได้มีการพูดคุยในรายละเอียด อีกทั้งตนยังไม่สามารถพูดอะไรได้มาก เนื่องจากยังไม่ได้เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งขณะนี้ก็ยังคงมีรัฐบาลรักษาการ เราให้เกียรติกัน “ผมรับตำแหน่งได้ ก็ต่อเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อน ส่วนเรื่องนโยบาย ข้อสั่งการ ต้องรอการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งขณะนี้เราก็ยังรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ไว้ให้มากที่สุด” นายอนุทิน กล่าว ส่วนกรณีที่นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ร้องขอไปยังนายอันวาร์ เพื่อให้เข้ามาแทรกแซงการเจรจานั้น นายอนุทิน ยืนยันว่า ไม่มีใครแทรกแซงรัฐบาลไทยและอธิปไตยของไทยได้ ส่วนเรื่องการพูดคุย นายอนุทิน ย้ำว่า เราสามารถทำได้ เพราะเป็นคนที่คุ้นเคยรู้จักกัน […]

“อนุทิน” กินข้าว “อภิสิทธิ์” ขอคำแนะนำอดีตนายกฯ

กทม. 19 ก.ย.- “อนุทิน” โพสต์ภาพร่วมโต๊ะกินมื้อกลางวันคู่กับ “อภิสิทธิ์” บอกขอคำแนะนำอดีตนายกฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี โพสต์ภาพรับประทานอาหารกลางวันคู่กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งเป็นการส่วนตัว พร้อมระบุข้อความว่า “ได้รับคำแนะนำที่มีประโยชน์และคุณค่ามากมายจากท่านนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ได้ให้เกียรติมาให้กำลังใจและทานอาหารกลางวันด้วยกันในวันนี้ ขอบพระคุณท่านมากครับ” ทั้งนี้ ถือเป็นความเคลื่อนไหวแรกของนายกรัฐมนตรี หลังจากที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของนายอนุทิน เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีอีกกระแสข่าว ที่เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ กลับไปเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ -สำนักข่าวไทย

รวบยกแก๊ง 4 ชาวอังกฤษขับรถชิงทรัพย์ชาวอเมริกัน

ภูเก็ต 19 ก.ย. – วานนี้มีเหตุอุกอาจกลางเมืองภูเก็ต กลุ่มชายฉกรรจ์ขับรถชนรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายก่อนลงไปชิงนาฬิกาหรู มูลค่ากว่า 2 ล้าน เช้านี้ตำรวจรวบผู้ก่อเหตุได้ครบ เชื่อวางแผนทำกันเป็นขบวนการ.-สำนักข่าวไทย

ไทยยึดหลักสากล จัดการปมบ้านหนองหญ้าแก้ว

กระทรวงการต่างประเทศ 19 ก.ย.- “อนุทิน” แจงประธานอาเชียน เหตุบ้านหนองหญ้าแก้ว ไทยยืนยันยึดหลักสากล จัดการปัญหา กัมพูชาขัดข้อตกลงหยุดยิง ใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์ ไร้มนุษยธรรม ไม่สร้างสรรค์ บิดเบือนข้อเท็จจริง พร้อมเรียกร้องกัมพูชาแสดงความจริงใจในการแก้ปัญหา นายนิกรเดช พลางกูล อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ที่มีการรื้อถอนสิ่งกีดขวางของฝ่ายไทย และมีการปะทะจนมีเจ้าหน้าที่ไทยได้รับบาดเจ็บ ซึ่งถือเป็นการทำผิดกฎหมายไทยหลายมาตรา โดยย้ำว่าที่ผ่านมาฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัดทุกประการมาโดยตลอด ข้อตกลงนี้เป็นหมุดหมายสำคัญที่จะปูทางไปสู่สันติภาพ แม้สถานการณ์สงบลง แต่กัมพูชายังยั่วยุในรูปแบบต่างๆ ซึ่งขัดข้อตกลงหยุดยิง พร้อมย้ำว่าการวางเครื่องกีดขวางเสริมความมั่นคง เป็นการดำเนินการในอธิปไตยของไทยอย่างชัดเจน โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยอดกลั่น และใช้เวลาชี้แจงกับประชาชนกัมพูชา แต่ไม่เป็นผล ที่สุดเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนของไทยต้องเข้าระงับเหตุตามหลักสากล ตามหลักมนุษยชนการปลุกระดมให้ประชาชนมาเป็นโล่มนุษย์ ขัดกฎหมายระหว่างประเทศ ไร้มนุษยธรรม ขาดความรับผิดชอบ ไม่สร้างสรรค์ และไม่ยึดถือประโยชน์และความปลอดภัยของประชาชนเป็นที่ตั้ง นอกจากนี้ ทั้ง 2 ประเทศให้คำมั่นหยุดยิงไปแล้ว แต่กัมพูชาเลือกเส้นทางจากต่างไทยโดยสิ้นเชิง ไทยมุ่งมั่นแสวงหาสันติภาพ ซึ่งต่างจากกัมพูชาที่แสวงหาความรุนแรง การวางรั้วลวดหนามของฝ่ายไทย เป็นไปเพื่อป้องกันการปะทะ และเพื่อสร้างความปลอดภัยของประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ และเหตุความรุนแรงอาจนำไปสู่การสูญเสีย […]