วิทยาลัยเทคนิคนครนายก คว้าแชมป์ประเทศไทย หุ่นยนต์ ABU 2563
ทีมขุนด่านปราการชล วิทยาลัยเทคนิคนครนายก คว้าแชมป์การแข่งขันหุ่นยนต์ MCOT – ABU ชิงชนะเลิศประเทศไทย ประจำปี 2563 เป็นสมัยแรก ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยชิงชัยหุ่นยนต์นานาชาติปลายปีนี้
ทีมขุนด่านปราการชล วิทยาลัยเทคนิคนครนายก คว้าแชมป์การแข่งขันหุ่นยนต์ MCOT – ABU ชิงชนะเลิศประเทศไทย ประจำปี 2563 เป็นสมัยแรก ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยชิงชัยหุ่นยนต์นานาชาติปลายปีนี้
อสมท จัดแข่งขันหุ่นยนต์ ABU โรโบคอน ชิงแชมป์ประเทศไทยครั้งที่ 19 ประจำปี 2563
กรุงเทพฯ 25 ก.ย. ดีอีเอส เล็งต่อยอดร่วมมือสำนักข่าว หนุนสกัดการแพร่ข่าวปลอม นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า กระทรวงฯ มีนโยบายที่จะสร้างการรับรู้เพื่อกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนได้รับรู้เท่าทันข่าวปลอม โดยจัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) เป็นช่องทางให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการส่งขัอมูลได้ตลอด 24 ชั่วโมง และช่วยกันป้องกันการแชร์เนื้อหาข่าวที่ไม่ถูกต้อง ล่าสุดมีแผนขยายการสร้างความมีส่วนร่วมกับภาคส่วนต่างๆ ในการทำงานร่วมกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หนึ่งในแผนงาน คือการขอความร่วมมือจากสำนักข่าว เนื่องจากเป็นช่องทางที่ใกล้ชิดกับ “ผู้บริโภคสื่อ” และได้รับความเชื่อถือจากประชาชนส่วนใหญ่อยู่แล้ว สามารถเป็นช่องทางและเครือข่ายที่มีพลังในการเผยแพร่ข่าวสารข้อมูลที่ถูกต้องให้เข้าถึงประชาชนในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการจัดอบรมให้กับผู้ประสานงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของบุคลากรพัฒนาระบบในการตรวจสอบข่าวปลอมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยเทคโนโลยี่ และพัฒนาช่องทางการติดต่อประสานงานระหว่างประชาชนกับศูนย์ฯ และผู้ประสานงานกับศูนย์ฯ ให้มีขั้นตอนที่สะดวกมากขึ้น เป็นต้น สำหรับผลการดำเนินงานการประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอม ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมว่า จาการรับแจ้งข้อมูลข่าวผ่านช่องทางต่างๆ ของศูนย์ฯ ตั้งแต่เปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 1 พ.ย. 62 – 23 ก.ย. 63 มีจำนวนข้อความที่เข้ามา 17,255,640 ข้อความ โดยมีข้อความที่เข้าข่ายตามหลักเกณฑ์ทั้ง 4 ด้าน จำนวน 18,479 ข้อความ ทั้งนี้ จากการคัดกรองพบว่ามีข้อความที่ต้องตรวจสอบ 6,411 เรื่อง แบ่งเป็นหมวดหมู่ดังนี้ กลุ่มข่าวสุขภาพ 3,539 เรื่อง กลุ่มข่าวนโยบายรัฐบาล 2,499 เรื่อง กลุ่มข่าวภัยพิบัติ 125 เรื่อง และกลุ่มข่าวเศรษฐกิจการเงิน 248 เรื่อง ตามลำดับ-สำนักข่าวไทย.
กรุงเทพฯ 25 ก.ย.-มิว สเปซ เปิดแผนดันไทยสู่อุตสาหกรรมอวกาศ นายเจมส์ วรายุทธ เย็นบำรุง ประธานกรรมการบริหาร บริษัทด้านอุตสาหกรรมดาวเทียมและเทคโนโลยีอวกาศบริษัทมิวสเปซ ผู้ให้บริการดาวเทียมสื่อสาร กล่าวว่า เป้าหมายหลักของมิวสเปซ คือการพัฒนาเทคโนโลยีและอุปกรณ์เพื่อนำประเทศไทยมุ่งสู่ธุรกิจทางด้านอุตสาหกรรมอวกาศ อย่างเช่น โครงการวิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์ระบบอัตโนมัติ (Autonomous Robot) เพื่อใช้ในภารกิจทางด้านอวกาศในอนาคตอันใกล้ มิว สเปซ จึงมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีที่จะสามารถสนับสนุนการค้นหาทรัพยากร ประกอบกับการนำไปพัฒนาต่อยอดด้านการสื่อสารดาวเทียมให้มีคุณภาพสูงแต่มีค่าใช้จ่ายต่ำ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทุกรูปแบบและสอดคล้องกับความต้องการในตลาดอย่างลงตัว รวมทั้งเป็นการสร้างงาน สร้างโอกาส ขยายตลาดแรงงานทักษะสูง ตลอดจนถึงบุคลากรผู้มีความรู้ความสามารถ ในการยกระดับและพัฒนาอุตสาหกรรมอวกาศของไทยสู่นานาชาติ สำหรับไฮไลท์ในการเปิดตัวนี้ คือ แผนการสร้าง Spaceship หรือพาหนะทางอวกาศขนาดเล็กลำแรกของไทย โดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ การสร้าง Data Center นอกชั้นบรรยากาศของโลก ซึ่งสามารถลดปัญหาสำคัญของการสร้างศูนย์เก็บข้อมูล เช่น การควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมต่อการปฏิบัติการของระบบภายใต้สภาวะอุณหภูมิต่ำ ซึ่งใช้ปริมาณมากถึงร้อยละ 40 ของพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด การนำ Data Center ออกไปยังสภาวะอวกาศที่เย็นกว่า -270 องศาเซลเซียส ทำให้สามารถกำจัดเรื่องของอุณหภูมิไปได้อย่างมาก รวมถึงการใช้พลังงานบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ไม่พึ่งพาพลังงานจากโลก โดย Spaceship จะโคจรค้างฟ้า และรับพลังงานจากแสงอาทิตย์บริเวณใต้ท้องตลอดเวลา จึงสามารถปฏิบัติงานด้วยตนเอง ไม่ต้องพึ่งพลังงานจากโลก และมีความปลอดภัย โดยทำให้ spaceship ที่ลอยค้างฟ้าและเชื่อมต่อกันเป็นโครงข่าย constellation มีความปลอดภัยจากอุบัติเหตุต่างๆ ที่มักเกิดขึ้นบนโลก เช่น ไฟไหม้ หรือ น้ำท่วม ยิ่งไปกว่านั้น การเชื่อมต่อกันเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ครอบคลุมทั้งโลก จะทำให้การเชื่อมต่อมีความลื่นไหลเข้าถึงได้ทุกมุมโลก ในเดือนสิงหาคมที่ผ่าน มิว สเปซ ได้มีการทดสอบวัสดุที่เหมาะสมต่อการนำมาสร้าง โดยทดสอบความแข็งแรงของวัสดุ จากการจำลองกระสุนปืนชนิดพิเศษ ที่มีความเร็วเทียบเท่ากับความเร็วของเศษขยะอวกาศ อยู่ที่ความเร็วมากกว่า 1,100 m/s ทั้งนี้ ผลทดสอบพบว่า ผ่านมาตรฐานการป้องกันกระสุนในระดับ 3 และมิวสเปซ ได้เตรียมสร้างโรงงานขนาดกลางภายในปลายปีนี้ เพื่อให้สามารถเริ่มผลิต Spaceship อย่างเต็มรูปแบบในปี 2021 ประธานมิวสเปซ กล่าวอีกว่า ด้วยเทคโนโลยีของคนไทยที่ได้มาตรฐานสากล โดยคาดว่าจะสามารถปล่อยดาวเทียมสู่วงโคจรภายในปี 2024 เพื่อให้มิวสเปซเป็นผู้ให้บริการดาวเทียมต่างชาติแห่งแรกของไทย เมื่อมีการเปิดเสรีดาวเทียม ดาวเทียมวงโคจรต่ำ หรือ LEO Satellite จะเป็นประโยชน์และมีความสำคัญอย่างมากต่อระบบการสื่อสารในอนาคต อีกทั้ง ยังเป็นการยกระดับเทคโนโลยีทางด้านการสื่อสารของไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อให้มีศักยภาพทัดเทียมกับนานาชาติ รวมไปถึงการรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ อาทิ 5G, Cloud storage, Online Transaction และความปลอดภัยในการทำธุรกิจต่าง ๆ ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ มั่นใจว่า มิว สเปซ คือทางเลือกใหม่ของคนไทยที่จะสามารถพัฒนารูปแบบการให้บริการในทิศทางใหม่ๆ ได้อย่างตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าอย่างทั่วถึงพร้อมช่วยทำให้การรับส่งสัญญาณมีประสิทธิภาพและเข้าถึงพื้นที่ต่างๆ ได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น.-สำนักข่าวไทย
วช. โชว์ผลงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อท้องถิ่น ตั้งเป้าลดความเหลื่อมล้ำด้วยวิจัยและนวัตกรรม สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จัดงาน Power of CBR พลังขับเคลื่อนชุมชนไทยด้วยงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น ภายใต้แนวคิด “ลดความเหลื่อมล้ำด้วยวิจัยและนวัตกรรมเพื่อท้องถิ่น” เพื่อยกระดับงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นในทศวรรษที่ 3 ในการพัฒนาคนและพัฒนาพื้นที่ เสริมพลังสร้างความเข้มแข็งในระดับชุมชนให้สามารถพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง รองผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. เป็นหน่วยงานกลางด้านการบริหารงานวิจัยของประเทศ และให้ความสำคัญต่อการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากด้านวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งขณะนี้ วช. ตั้งเป้าดำเนินการขับเคลื่อนงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น หรือ CBR ซึ่งเป็นภารกิจการให้ทุนวิจัยและนวัตกรรม เพื่อสร้างกลไกการใช้คนในท้องถิ่นพัฒนาศักยภาพท้องถิ่นร่วมกับภาคีเครือข่ายวิจัย และยกระดับผลิตภัณฑ์ โดย วช. ได้จัดกระบวนการและระบบการจัดการท้องถิ่นด้วยโจทย์และความต้องการระดับพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดกลไกการจัดการปัญหาและการพึ่งตนเองของชุมชนท้องถิ่นในพื้นที่วิจัย ที่ใช้บทเรียนการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำของยูเนสโก 7 มิติ ด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมือง สิ่งแวดล้อมเชิงพื้นที่ และด้านความรู้ งาน Power of CBR แสดงให้เห็นพลังขับเคลื่อนชุมชนไทยด้วยงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น เป็นเวทีในการนำเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อท้องถิ่นที่มีศักยภาพพร้อมใช้ประโยชน์และขับเคลื่อนให้เกิดการกระจายความรู้ กระจายโอกาสการเข้าถึงฐานข้อมูลความรู้การวิจัยและนวัตกรรมเพื่อท้องถิ่น และให้ผลผลิตของงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อท้องถิ่นได้ถูกเผยแพร่สู่ผู้ใช้ประโยชน์ในวงกว้าง นำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำของชุมชนและประเทศ โดยงานนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 – 25 กันยายน 2563 ณ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ
NIA เปิดโมเดลความสำเร็จโครงการหมู่บ้านนวัตกรรมเพื่อสังคมสู่ชุมชนแม่เหาะ ชวนคนไทยร่วมเปิดประสบการณ์ใหม่เดินทางฤดูไหนก็เที่ยวได้ด้วยนวัตกรรม
กรุงเทพฯ 24 ก.ย. ดีแทคบุกตลาดเอสเอ็มอี ไทย เปิดดีแทคบิสสิเนสจัด3 โซลูชัน ช่วยผู้ประกอบการทำธุรกิจ นายราจีฟ บาวา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจองค์กรและธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก บริษัท โทเทิ่ลแอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า แนวโน้มการทำธุรกิจ 3 กลุ่มที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่ที่สร้างโอกาสศักยภาพ และความท้าทายที่ช่วยให้ผู้ประกอบการ สามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ การเตรียมพร้อมแพ็กเกจดาต้าและการโทรเพื่อรองรับการสื่อสารที่เพิ่มขึ้น , การเตรียมพร้อมเครื่องมือและโซลูชันการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและเพิ่มความปลอดภัยเพื่อรองรับการทำงานแบบใหม่ และการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องทาง ดิจิทัลเพื่อตอบรับพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไป เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้น สิ่งที่ดีแทคบิสสิเนสสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจคือ ความเข้าใจที่แท้จริงของปัญหาธุรกิจในทุกขนาดเพื่อสร้างสรรค์โซลูชันและบริการในการตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจได้อย่างแท้จริง โดยให้ความสำคัญของ ความง่าย และ ความคุ้มค่า ในการใช้งานเพื่อให้ธุรกิจดำเนินงานได้อย่างสบายใจไร้กังวล หรือเรียกว่า Worry Free เทคโนโลยีการสื่อสารถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคดิจิทัลที่ต้องการความรวดเร็วในการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างราบรื่น ลงทุนต่ำและมีผลิตภาพเพิ่มขึ้น ดังนั้น สิ่งที่ดีแทคจะให้ทุกธุรกิจก้าวผ่านอุปสรรคและประสบความสำเร็จทางธุรกิจได้นั้น ไม่ใช่มีเพียงบริการวอยซ์หรือดาต้าเท่านั้น แต่ดีแทคมุ่งมั่นสรรหาโซลูชันต่างๆ ที่จะเข้ามาทำให้ธุรกิจต่างๆ เติบโตในยุคเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีได้ นายราจีฟ กล่าวอีกว่า 3 โซลูชันจาก dtac Business ที่พร้อมติดอาวุธให้ธุรกิจไทย คือ Mobility solutions: ซิม WorryFree อัพเกรดแพ็กเกจที่คุ้มค่า หมดปัญหาความไม่เท่าเทียมทั้งลูกค้าใหม่และปัจจุบัน นอกจากแพ็กเกจโทรฟรี24 ชั่วโมงทุกเครือข่ายที่มอบให้แล้ว ลูกค้า dtac Business ที่ใช้ซิม WorryFree จะได้อัพเกรดแพ็กเก็จโทรศัพท์ที่เพิ่มปริมาณดาต้าโดยไม่ต้องสมัครเพิ่ม ให้ลูกค้าได้ใช้งานมากขึ้น ให้กับองค์กรที่เป็นลูกค้าดีแทคปัจจุบัน และสำหรับองค์กรที่เข้ามาเป็นลูกค้าใหม่ ตอบโจทย์หนึ่งในปัญหาใหญ่ที่ลูกค้าปัจจุบันที่ต้องพบเจอตลอด เรื่องความไม่เท่าเทียมเพราะลูกค้าใหม่จะได้โปรโมชันที่ดีกว่าเสมอ เพราะการสื่อสารเป็นพื้นฐานสำคัญของการดำเนินธุรกิจโดยเฉพาะยุคดิจิทัล พฤติกรรมลูกค้าที่ใช้ออนไลน์มากขึ้น ภายใต้ Mobility โซลูชันยังรวมถึง อุปกรณ์สื่อสาร (Device Care) และVirtual PBX สำหรับกลุ่มธุรกิจโดยเฉพาะ ช่วยให้ลูกค้ากลุ่มธุรกิจสามารถบริหารค่าโทรและอินเทอร์เน็ตได้อย่างคุ้มค่า ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น สนับสนุนให้ลูกค้าธุรกิจไม่ว่าเป็น SMEs หรือบริษัทขนาดใหญ่สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายและเติบโตอย่างยั่งยืน ถัดมา IoT Solution: บริหารจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นำเสนอIoT ผ่านพันธมิตรที่เชี่ยวชาญด้านส่วนอุปกรณ์การเชื่อมต่อที่หลากหลาย ครอบคลุมการใช้งานทุกภาคอุตสาหกรรมพันธมิตรติดตั้งระบบ หรือซิสเต็ม อินทิเกรเตอร์ และนักพัฒนาโซลูชั่นที่ตอบโจทย์การใช้งานแต่ละอุตสาหกรรมมากกว่าสิบโซลูชั่น พร้อมผสมผสานเทคโนโลยีของดีแทคเอง Managed IoT cloud platform และการเชื่อมต่อ IoT SIM บนเครือข่าย 4G ด้วยความเชี่ยวชาญเทคโนโลยีจากเทเลนอร์ ทำให้ดีแทคมีแพลตฟอร์มการบริหารอุปกรณ์ IoT ที่มีความปลอดภัยสูง โดยใช้โปรโตคอล MQTTS ที่ใช้แบนด์วิธน้อย และมีการเข้ารหัสข้อมูลด้วย TLS 1.2 จากอุปกรณ์ IoT มายังแพลตฟอร์มของดีแทค ดีแทคสั่งสมประสบการณ์มายาวนานตั้งแต่การให้บริการ แมชชีน ทูแมชชีน (Machine to Machine: M2M)ที่ให้บริการ ซิมรองรับการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ เช่น การใช้งาน เอทีเอ็มและการทำฟลีทแมนเนจเม้นท์ การทำเทเลเมติกส์ และยังให้คำปรึกษาการลงทุนโครงการ IoT ที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละอุตสาหกรรม เช่น การใช้ IoT นำร่องกับลูกค้าของดีแทค ในภาคการเกษตร การใช้ IoT กับตู้สวิทช์บอร์ด หรือตู้ MDB (Main Distribution Board) SmartConnect คลาวด์โซลูชั่น (Cloud Solutions) ดีแทควางจุดยืนการเป็น อะกรีเกรเตอร์มัลติคลาวด์ ที่รวบรวมคลาวด์จากหลากหลายผู้ให้บริการ โดยใช้ความแข็งแกร่งในการเชื่อมต่อและการเคลื่อนที่ ควบคู่ไปกับการจับมือกับพันธมิตรยุทธศาสตร์ซึ่งเป็นผู้นำด้านการให้บริการคลาวด์ การทำงานผ่านพันธมิตรในโมเดลของการเป็นอะกรีเกรเตอร์มัลติคลาวด์ โดยมีโซลูชันสมาร์ทคอนเน็ค โดยเน็ตฟาวเดอรี่ (SmartConnect powered by NetFoundry) ให้บริการเครือข่าย (Network as a Service) โดยเน็ตฟาวเดอรี่ (NetFoundry) ทำให้ธุรกิจขององค์กรสามารถเชื่อมต่อและรับส่งข้อมูลระหว่างสำนักงานหรือสาขาต่างๆในที่ใดก็ได้ ในโลกนี้ หรือเชื่อมต่อกับคลาวด์สาธารณะหรือ ไฮบริดคลาวด์ที่ผสมผสานการทำงานระหว่างคลาวด์ส่วนตัวและคลาวด์สาธารณะ ตอบโจทย์ต่อเทรนด์การทำงานของธุรกิจที่มีการใช้ระบบคลาวน์ในการจัดการข้อมูลและดำเนินงานมากยิ่งขึ้น โดยการเชื่อมต่อและรับส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายของสมาร์ทคอนเน็คมีความปลอดภัยสูง มีประสิทธิภาพ และช่วยลูกค้าองค์กรลดค่าใช้จ่าย โดยไม่ต้องลงทุนซื้ออุปกรณ์และระบบเครือข่าย นอกจากนั้น ดีแทค จะปรับแต่งเพิ่มเติม หรือคัสโตไมเซชั่น คลาวด์ของพันธมิตรเพิ่มเติมเพื่อนำเสนอโซลูชั่นนวัตกรรมให้กับลูกค้า อีกทั้งยังสร้างความแตกต่างที่โดดเด่น บริการคลาวด์ของดีแทค เหมาะสมอย่างยิ่งกับการใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่และเอสเอ็มอี ทั้ง ธนาคาร บริษัทประกัน และร้านอาหาร เนื่องจากคลาวด์มีความยืดหยุ่นจึงทำให้องค์กรคล่องตัวและรวดเร็ว “จะเห็นว่าเทคโนโลยีการสื่อสารมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อภาคธุรกิจเพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆ ในยุคดิจิทัลทั้งยังเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งเชิงเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาวอีกด้วย ทั้งนี้ ‘ความเร็ว’ ในการปรับใช้เทคโนโลยีในธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ เพื่อให้ก้าวทันต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรงขึ้น ซึ่งดีแทคมุ่งมั่นอย่างยิ่งในการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ลูกค้าไว้วางใจ (Trusted partner) ไม่ว่าธุรกิจจะเล็กใหญ่ขนาดใดก็ตาม เราพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างเพื่อข้ามผ่านทุกความท้าทาย” นายราจีฟ กล่าว -สำนักข่าวไทย.
กรุงเทพฯ 24 ก.ย. พุทธิพงษ์แจ้งความปอท. เอาผิด 5 มือโพสต์หมิ่นช่วงเหตุการณ์ชุมนุม 19-20 ก.ย. 63 รุกบังคับใช้กฎหมายกับเฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ หลังตรวจสอบพบยังไม่ดำเนินการปิดลิงค์ผิดกฎหมายตามคำสั่งศาลภายใน 15 วัน นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า นับเป็นครั้งแรกที่ได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกล่าวโทษร้องทุกข์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การแจ้งความเพื่อดำเนินคดีครั้งนี้ มุ่งดำเนินการกับผู้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นผู้นำเข้าข้อมูลที่ผิดกฎหมายซึ่งไม่ใช่เป็นผู้แชร์ต่อ จึงมอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายไปแจ้งความต่อ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เพื่อดำเนินคดี เพื่อเอาผิดกับผู้นำเข้าข้อความที่ไม่เหมาะสม 5 ราย ดังกล่าว ทั้งนี้ที่มีจำนวนผู้กระทำผิดไม่มากเป็นเพราะกระทรวงฯ ต้องการให้มีการดำเนินคดีกับบุคคลแรกที่เป็นผู้นำเข้าข้อมูลเท่านั้น กระทรวงฯ พร้อมดำเนินคดีกับแพลทฟอร์มต่างประเทศ เพจหรือเว็บไซต์ที่ผิดกฎหมายที่ไม่ดำเนินการปิดภายใน 15 วัน ตามที่มีการส่งหนังสือไปแจ้งเตือนไอเอสพีเพื่อดำเนินการปิดกั้นการเข้าถึง/ปิดเว็บไซต์ผิดกฎหมายก่อนหน้านี้ จากการติดตามความร่วมมือดำเนินการตามคำสั่งศาลจากแพลตฟอร์มต่างๆ ประกอบด้วย เฟซบุ๊ก 661 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 225ยูอาร์แอล เหลืออีก 436 , ยูทูบ 289 ยูอาร์แอล ปิดทั้งหมดแล้ว , ทวิตเตอร์ 69 ยูอาร์แอล ปิดแล้ว 5 ยูอาร์แอลเหลืออีก 63 และเว็บอื่น (อินสตาร์แกรม) “ ในขั้นตอนการร้องแพลตฟอร์ม ไม่ว่าอยู่ในประเทศไทยหรือต่างประเทศ ตำรวจจะรวบรวมสำนวนทั้งหมดแล้วส่งศาลไทยโดยจะฟ้องไปที่ต้นทาง ส่วนทางแพลตฟอร์มจะชี้แจงอย่างไรก็สามารถทำได้ ตามมาตรา 27 ถ้าไม่ส่งตัวแทนมาชี้แจงเจ้าหน้าที่สามารถฟ้องศาลอาญาได้ อีกแนวทางคือการขอเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อเปรียบเทียบปรับต่อไป “ นายพุทธิพงษ์ กล่าว นายพุทธิพงษ์ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีการชุมนุมทางการเมืองที่ผู้ชุมนุมอ้างว่าเป็นสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญและสามารถทำได้ตามกฎหมาย เนื่องจากการชุมนุมเมื่อวันที่ 19-20 ก.ย. ที่ผ่านมา มีการใช้ Social Media โพสต์ข้อความที่เข้าข่ายผิดกฎหมายหรือพาดพิงสถาบันหลักของประเทศ จำนวน 5 ยูอาร์แอล ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ดังนี้ เฟซบุ๊ก 2 ยูอาร์แอลและทวิตเตอร์ 3 ยูอาร์แอล “กรณีการชุมนุมที่ส่งข้อมูลให้ครั้งนี้ครั้งนี้ยังไม่รวมเพจรอยัลลิสต์ตลาดหลวง มีเฉพาะช่วงที่ชุมชน โดยโฟกัสทราคนที่นำจ้อมูลสู่คอมพิวเตอร์เป็นคนแรกมีจ้อมูลชัดเจน โดยในจำนวนนี้มีนักการเมืองและผู้มีชื่อเสียง 3 ราย” นายพุทธิพงษ์กล่าว ทั้งนี้ในช่วง ส.ค. – 24 ก.ย. มียอดร้องทุกข์กล่าวโทษ ผู้นำเข้าข้อมูลคอมฯ ที่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. คอมฯ รวมจำนวน 13 บัญชี/รายการ และมีการร้องทุกข์กล่าวโทษ ตามมาตรา 27 ที่ไม่ปฏิบัติตาม คำสั่งศาลฯ จำนวน 2 ราย (เฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์) ซึ่งไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลผิดกฎหมาย/ปิดเว็บไซต์ภายใน 15 วันหลังจากได้รับคำสั่งศาล สำหรับที่ผ่านมา -สำนักข่าวไทย.
กทม. 23 ก.ย. 63 – อว. พร้อมขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน ใช้การบูรณายกระดับศักยภาพของแต่ละจังหวัด ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(รมว.อว.) มอบนโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันเพื่อพัฒนาจังหวัดด้วยอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อววน.)ให้กับผู้บริหารเครือข่ายสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ หน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจในสถาบันการศึกษา (UBI) เครือข่ายอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ณ โรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว กรุงเทพ ฟอร์จูนเพื่อจัดเตรียมความพร้อมของหน่วยงานเครือข่าย อว. ที่เป็นสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ ดำเนินการตอบสนองนโยบายของรัฐบาล การขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน ในระดับพื้นที่จังหวัด ให้เกิดการพัฒนาและแก้ปัญหาสามารถขับเคลื่อนไปได้โดยเร็ว ลดปัญหา อุปสรรค รวมทั้งใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้องค์ความรู้แบบบูรณาการศาสตร์ ผนวกกับงานวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาจังหวัด ขับเคลื่อนงานด้าน อววน. ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ในพื้นที่ อันจะนำไปสู่การสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ พัฒนากระบวนการผลิต เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกพื้นที่ของประเทศ ส่งผลให้เกิดการพัฒนาทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน โดยหน่วยปฏิบัติการส่วนหน้าของ อว. จะเป็นผู้แทนของ อว. ในระดับพื้นที่ สนับสนุนการพัฒนาจังหวัด เพื่อขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน มีหน้าที่สำคัญในการผลักดันภารกิจใน 4 ด้าน 1. ประสานการนำงานด้าน อววน. เพิ่มขีดความสามารถผนวกกับศักยภาพจังหวัด สู่การพัฒนากระบวนการผลิต สร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ และเสริมศักยภาพการตลาด สู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัด 2. ขับเคลื่อนแผนงาน/โครงการด้าน อววน. ในจังหวัด 3.ส่งเสริมการนำงานด้าน อววน. สนับสนุนจังหวัด เป็นหน่วยงานดำเนินงานการถ่ายทอดเทคโนโลยี สร้างนวัตกรรมบริการให้คำปรึกษาด้าน อววน. สู่ประเทศฐานนวัตกรรม (Innovation Nation) 4. เป็นหน่วยงานม้าเร็ว ที่จะรับประเด็นปัญหาที่มีความจำเป็นเร่งด่วนของจังหวัด แล้วประสานงานหน่วยงานเจ้าขององค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการแก้ไขปัญหา รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า โครงการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน เป็นโอกาสทอง ที่หน่วยงานจะได้แสดงฝีมือการทำงาน และทำให้สังคมและรัฐบาลเห็นว่าการพัฒนาประเทศจากนี้ไป ล้วนต้องการความรู้ งานวิจัยและนวัตกรรมนอกจากนี้ อว.ยังมี 5 โครงการสำคัญที่จะดำเนินการให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมภายใน 1 ปี คือ 1.โครงการ อว.จ้างงาน 3,000 ตำบล และ โครงการ 1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย 2. เมกกะแฮกกาธอน (Mega-Hackathon) ให้เยาวชนได้ช่วยคิดแก้ปัญหานโยบาย ใช้เครื่องมือไอทีและโลกไซเบอร์มาช่วยคิดและช่วยให้เกิดแผน 3. การมองอนาคต คิดแผนอนาคต ครอบคลุมประเด็นสังคม-สิ่งแวดล้อม แต่ละจังหวัดใน 3-5 ปี 4. การพัฒนาบุคลากรให้เข้าสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation)โดยเพิ่มทักษะด้านดิจิทัลให้เยาวชนจำนวน 250,000 คนภายใน 1 ปี และ 5. การพัฒนาคนในวัยเกษียณให้เป็นพลัง เนื่องจากจะเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศในอนาคตอันใกล้ อาจพิจารณาแนวทางการปรับปรุงการเรียนรู้และทักษะสร้างงาน สร้างผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดี และเป็นประโยชน์กับประเทศ
เปิดมหกรรมอุตสาหกรรมด้านพลังงานทดแทนและยานยนต์ไฟฟ้า ASEAN Sustainable Energy Week 2020 โชว์นวัตกรรมพลังานที่ครบครันที่สุดในภูมิภาคอาเซียน
กรุงเทพฯ 23 ก.ย.กระทรวงดีอีเอส ส่งตัวแทนฟ้อง ปอท.จี้ แพลตฟอร์ม เฟสบุ๊ก ยูทูป ทวิตเตอร์ ไม่ดำเนินการปิดเว็บผิดกฎหมายหลังได้คำสั่งศาล 15 วัน พรุ่งนี้ (24 ก.ย.) นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า พรุ่งนี้ (25 ก.ย.) กระทรวงฯจะส่งตัวแทนไปแจ้งความแพลตฟอร์ม ที่ได้มีคำสั่งศาลขอให้ปิดกั้นเพจหรือเว็บไซต์ผิดกฎหมาย อาทิ เฟซบุ๊ก ยูทูป และทวิตเตอร์ โดยเป็นการดำเนินการตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ ม มาตรา 27 เมื่อได้รับคำสั่งศาลแล้วต้องดำเนินการภายใน 15 วัน โดยกระทรวงฯ ได้ส่งคำสั่งศาลขอความร่วมมือไป 661 คำสั่ง ดำเนินการลบไปแล้ว 200 คำสั่งเหลือ ยังไม่เำเนินการประมาณ 300 คำสั่งจึงจะยื่นให้ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท. ) รับดำเนินคดีต่อไป “ในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐกระทรวงฯต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งมิเช่นนั้นจะถือเป็นความผิดละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งกระทรวงฯคิดว่า ปอท.คงเป็นผู้ประสานคณะกรรมการไกล่เกลี่ยเข้ามาดูแลว่าแต่ละกรณีที่ยังไม่ปิดเป็นเพราะอะไร” นายพุทธิพงษ์ กล่าวอีกว่า จากการติดตามเนื้อหาการโพสต์ข้อความทางออนไลน์ในช่วงการชุมชนุมทางการเมืองในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยกระทรวงได้ติดตามเนื้อหาอย่างใกล้ชิด พบว่ามีการกระทำความผิดนำเข้าข้อความที่ผิดกฎหมาย 10 ราย จึงจะไปแจ้งความกับปอท.เพื่อเอาผิดกับผู้นำขเข้าข้อความที่ไม่เหมาะสม ทั้งนี้ที่มีจำนวนผู้กระทำผิดไม่มากเป็นเพราะกระทรวงฯต้องการให้ทีการดำเนินคดีกับบุคคลแรกที่เป็นผู้นำเข้าข้อมูลเท่านั้น ผู้สื่อข่าวรายงาน กระทรวงฯ ดำเนินการมีหนังสือแจ้งเตือนการติดตามการปิดกันตามคาสั่งศาลจำนวน 1,024 รายการ (ชุดที่2 วันที่ 27 สิงหาคม 2553) ดังรายการต่อไปนี้-Facebook จานวน 661 Urls ปิดแล้ว 215 Urls คงเหลือ 446 รายการ-Youtube จานวน 289 Urls ปิดแล้ว 285 Urds คงเหลือ 4 รายการ-Twitter จานวน 69 Urls ปิดแล้ว 4 Urls คงเหลือ 65 รายการ-เว็บอื่น ๆจานวน 5 Urls ปิดแล้ว 4 Urls คงเหลือ 1 รายการ (ครบ 15 วันวันที่ 12 ก.ย. 2553) (ซชุดที่ 3 เตรียมดำเนินการมีหนังสือแจ้งเตือนรวม 3,097 รายการแยกเป็น Facebook จำนวน 1,748 รายการ YouTube 607 รายการ Twitter 261 รายการและเว็บอื่น ๆ481 รายการประกอบด้วยหมิ่นสถาบัน, ลามก, การพนันยาเสพติดและลิขสิทธิ์)-สำนักข่าวไทย.
กรุงเทพฯ 23 ก.ย. รมว.ดีอีเอส ขอคำสั่งศาลสั่งปิดเว็บพนันออนไลน์อีกกว่า 220 เว็บไซต์ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ กสทช. รักษาการ เลขาธิการ กสทช. หารือกับ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ในการประชุมติดตามมาตรการระงับการเข้าถึงเว็บไซต์พนันออนไลน์ โดยภายหลังการประชุม นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า วันนี้ (23 ก.ย.) ได้มีการจัดการประชุมหารือร่วมกันระหว่าง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) และผู้ให้บริการมือถือ (โอเปอร์เรเตอร์) ทุกราย เรื่องการระงับการเข้าถึงเว็บไซต์การพนันออนไลน์ เพื่อติดตามความคืบหน้าและหาข้อสรุปแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างทุกภาคส่วน เพื่อให้การทำงานในเรื่องนี้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ล่าสุดได้มีการรวบรวมหลักฐานเพื่อขอคำสั่งศาลสั่งปิดเว็บพนันออนไลน์อีกกว่า 220 เว็บไซต์ สำหรับการติดตามดำเนินการกับผู้กระทำความผิดกรณีการใช้สื่อสังคมออนไลน์กระทำผิดกฎหมาย ในช่วง การชุมนุมเมื่อวันที่ 19-20 ก.ย. ที่ผ่านมา กระทรวงฯ ได้พิจารณาเรื่องที่เข้าข่ายการกระทำความผิด รวมถึงเนื้อหาที่อาจละเมิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 จำนวน […]