รวบมือขโมยเงินผ้าป่า อ้างองค์พระพยักหน้าอนุญาตแล้ว

อุทัยธานี 19 พ.ย.- เจอตัวแล้ว! ชายวัย 43 ปี วงจรปิดจับภาพขโมยเงินตู้บริจาคและกองผ้าป่าภายในวัดย่านเมืองอุทัยธานี สารภาพดื่มหนัก อ้างก่อนลงมือบอกกล่าวแล้ว พระพุทธรูปพยักหน้าอนุญาต พ.ต.ท.สามารถ สุคง สารวัตรปราบปราม สภ.เมืองอุทัยธานี และชุดเจ้าหน้าที่นำตัวนายน้อย (สงวนนามสกุล) อายุ 43 ปี มาสอบปากคำขณะเดินอยู่ริมถนนเมื่อเช้านี้ (19 พ.ย.) หลังจากเจ้าหน้าที่ได้ตรวจภาพกล้องวงจรปิดบันทึกเหตุการณ์เมื่อบ่ายวานนี้มีผู้ก่อเหตุเข้ามางัดตู้บริจาคและขโมยเงินกองผ้าป่าภายในศาลาวัดหลวงราชาวาส เขตเทศบาลเมืองอุทัยธานี โดยรูปพรรณสัณฐานของผู้ก่อเหตุคล้ายกับนายน้อย การสอบสวนนายน้อย ยอมรับสารภาพขโมยเงินผ้าป่าของวัดรวมเป็นเงิน 420 บาท และยังไม่ได้นำไปใช้จ่าย ก่อนลงมือได้ดื่มเบียร์จนเมาไม่ได้สติ และยังอ้างว่าก่อนขโมยได้บอกกล่าวขออนุญาตหลวงพ่อแล้วเป็นพระพุทธรูป ซึ่งท่านพยักหน้าอนุญาต จึงหยิบเงินบริจาคออกมา เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาลักทรัพย์ในเคหะสถาน.-สำนักข่าวไทย

แห่ขึ้น “ดอยกิ่วฝิ่น” โต้ลมเย็น-ชมขุนเขา 4 จังหวัดเหนือ

คึกคัก! รับหยุดยาว “ดอยกิ่วฝิ่น” แหล่งท่องเที่ยวลำปางรอยต่อเชียงใหม่ อุณหภูมิเย็น 16 องศาฯ ยอดดอยสูงอันดับ 3 รองจากอินทนนท์และภูลังกา ชมเต็มตาขุนเขา 4 จังหวัดเหนือ

พิจารณาเวลาปิดหีบเลือกตั้ง อบจ.ชายแดนใต้

สงขลา 18 พ.ย.- ผู้ตรวจการ กกต. ลงสงขลาประชุม 4 จังหวัดชายแดนใต้ พิจารณาการปิดหีบลงคะแนนเลือกตั้ง อบจ. 20 ธ.ค.นี้ เพื่อความปลอดภัยและเหมาะสมกับพื้นที่ อาจเลื่อนเป็น 15.00 น. จากเดิม 17.00 น. เร่งสรุปเสนอ กกต.พิจารณา นายวีระ ยี่แพร ผู้ตรวจการเลือกตั้ง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ลงพื้นที่ประชุมฝ่ายปกครองจาก 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส รวมทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำ อบจ. และฝ่ายความมั่นคง วันนี้ (18 พ.ย.) ที่ห้องประชุมสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดสงขลา เพื่อพิจารณาในเรื่องเวลาของการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งนายกและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) วันที่ 20 ธ.ค.2563 ซึ่งทั่วประเทศกำหนดเวลาการลงคะแนนเริ่มตั้งแต่ 08.00-17.00 น. แต่เนื่องจากพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องเน้นถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญและให้เกิดความเหมาะสม จึงมีข้อเสนอให้ร่นเวลาปิดหีบลงคะแนนจาก 17.00 น. […]

ดีแทคเปิดรีวอร์ดด้วยคอยน์

กรุงเทพฯ 17 พ.ย. ดีแทคเปิด ดีแทครีวอร์ด คอยน์สะสมเหรียญให้แลกของรางวัลได้ง่ายแลกใช้ก็คุ้มเมื่อทำธุรกรรมผ่านดีแทคแอป นายฮาว ริเร็น รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด บริษัท โทเทิ่ลแอ็คเซ็สคอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทคกล่าวว่า ในปีนี้ดีแทครีวอร์ดได้ปรับสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้าและพันธมิตรร้านค้าสอดคล้องกับสถานการณ์ในช่วงโควิด -19 และวิถี นิวนอมอบ โดยได้สำรวจความต้องการและความพึงพอใจให้ตรงใจและมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่สามการใช้งานดีแทคแอปเติบโตขึ้นร้อยละ 30 จากปีก่อนดีแทคได้ยกระดับให้สิทธิประโยชน์จากดีแทครีวอร์ดที่เน้นมอบความคุณค่าให้ลูกค้าจากการใช้บริการในระบบของดีแทคด้วยโปรแกรมดีแทครีวอร์ดคอยน์ ที่มาในรูปแบบการสะสมเหรียญคอยน์เพื่อร่วมสนุกจากกิจกรรมและแคมเปญต่างๆในดีแทคแอปพลิเคชันอีกมากมายพร้อมเปิดโอกาสให้ลูกค้าที่ใช้ระบบเติมเงินเข้ามามีปฏิสัมพันธ์ได้มากขึ้นจากการมอบสิทธิพิเศษการใช้บริการใจดีที่ช่วยเหลือผู้ใช้บริการดีแทคในด้านอื่นด้วยโดยมี คอยน์ที่เตรียมมอบให้ลูกค้ากว่าล้านคอยน์ทุกเดือนมูลค่ากว่า 25 ล้านบาทต่อเดือนปัจจุบันมีลูกค้าดีแทครายเดือนดาวน์โหลดดีแทคแอปแล้วกว่าร้อยละ 55 โดยมีผู้ใช้บริการรับสิทธิพิเศษดีแทครีวอร์ดในดีแทคแอปร้อยละ 80 ของจำนวนการกดรับสิทธิพิเศษทั้งหมด “รีวอดคอยน์ คือ ระบบสะสมแต้มที่มาในรูปแบบเหรียญบนแอป ความแตกต่างจากรีวอดเดิม คือการได้รับสิทธิพิเศษโดยไม่ต้องรอสเตัส ผู้ใช้บริการดีแทคจะได้อะไรเพิ่มจากดีแทครีวอร์ด คอยน์ สำหรับผู้ใช้บริการดีแทคทั้งเติมเงินและรายเดือนที่ใช้จ่ายผ่านดีแทคแอปสามารถสะสมเหรียญได้เลยไม่ต้องรอสถานะสมาชิกจากดีแทครีวอร์ตที่แบ่งเป็นกลุ่มตามอายุและแพ็กเกจการใช้งานสามารถร่วมกิจกรรมที่มีในตีแทคแอปได้หลากหลายทำให้สะสม คอยน์ได้ง่ายสามารถเอาคอยน์แลกใช้สิทธิ” -สำนักข่าวไทย.

หึงจัดยิงเมียดับ อ้างแค่ขู่ สุนัขวิ่งชนจนปืนลั่น

ระยอง 17 พ.ย.- สามีวัย 29 ปี ถูกตำรวจเค้นสอบกรณีภรรยาถูกกระสุนปืนเสียชีวิตในที่พักสวนยางระยอง สุดท้ายยอมรับหึงหวงทะเลาะกันแรงและคว้าปืนขู่ อ้างไม่ได้ตั้งใจยิง แต่มีสุนัขวิ่งมาชนจนปืนลั่น เมื่อเวลา 09.00 น. (17 พ.ย.) ร.ต.อ.สมคิด ศรีวิชัย ร้อยเวร สภ.วังจันทร์ จ.ระยอง ประสานแพทย์ชุดพิสูจน์หลักฐาน และกู้ภัยร่วมกตัญญูระยอง เข้าตรวจสอบเหตุมีผู้ถูกยิงเสียชีวิตที่บ้านพักคนงานภายในสวนยางพารา ม.6 ต.ชุมแสง พบศพหญิง อายุ 31 ปี สภาพถูกกระสุนปืนลูกซองหลายแห่ง จากการสอบถามพยานแวดล้อมทราบว่าผู้เสียชีวิตกับสามีทะเลาะกันบ่อย น่าจะเรื่องหึงหวง และช่วงเวลาประมาณ 03.00 น. (17 พ.ย.) ได้ยินเสียงดังคล้ายปืน แต่คิดว่าเป็นประทัด จึงไม่ได้สนใจ กระทั่งเช้าพบว่าฝ่ายภรรยาเสียชีวิต ด้านสามีผู้เสียชีวิต อายุ 29 ปี ให้การปฏิเสธในเบื้องต้น แต่เมื่อถูกสอบสวนอย่างหนักจึงยอมรับสารภาพ อ้างว่าทำไปไม่ได้ตั้งใจ ขณะนั้นบันดาลโทสะ เพราะคิดว่าภรรยามีคนอื่น จึงนำปืนลูกซองยาวมาขู่ และมีสุนัขวิ่งมาชน ทำให้ปืนลั่นใส่ภรรยา จากนั้นได้นำปืนไปทิ้งในสระน้ำข้างสวนยาง รอจนเช้าจึงแจ้งตำรวจ.-สำนักข่าวไทย

สวทช.ผนึกพันธมิตรจัด ไทยแลนด์เทคโชว์2020แบบออนไลน์ทั้งงาน

กรุงเทพฯ 17 พ.ย.สวทช. ผนึก 40 พันธมิตร จัดงาน “THAILAND TECH SHOW 2020” ออนไลน์เต็มรูปแบบ นำเสนอวิถีชีวิตใหม่ นวัตกรรม เพื่อการลงทุน พลาดไม่ได้ 2– 4 ธันวาคม  นายณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า THAILAND TECH SHOW จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 นำเสนอในรูปแบบตลาดเทคโนโลยีที่นักวิจัยผู้คิดค้นนวัตกรรมจะได้มานำเสนอผลงานต่อนักลงทุน นักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการ Startup ที่กำลังมองหานวัตกรรมและพร้อมลงทุน ตลอดจนผู้สนใจเข้าร่วมงาน เพื่อโอกาสพบกับนักวิจัย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและโจทย์ความต้องการที่เหมาะสมกับธุรกิจ พร้อมอัพเดทความรู้และเทรนด์เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง เป็นข้อมูลสำหรับทิศทางในการดำเนินงานธุรกิจเทคโนโลยี ในปีนี้ สวทช. จึงได้กำหนดจัดงาน THAILAND TECH SHOW 2020 ขึ้นระหว่างวันที่ 2 – 4 ธันวาคม 2563 ภายใต้แนวคิด “วิถีชีวิตใหม่นวัตกรรม เพื่อการลงทุน (Technologies and Innovations for Investment in The New Normal)” เพื่อเป็นโอกาสทางธุรกิจในยุค    นิวนอร์มอลให้กับผู้ประกอบการ/นักลงทุนที่สนใจนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเสริมความเข้มแข็งของธุรกิจอย่างยั่งยืนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยไปสู่รูปแบบใหม่       ที่เรียกว่า Bio-Circular-Green Economic Model (BCG Model) ที่จะช่วยต่อยอดจุดแข็งของประเทศให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ผ่านการส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน พลังงานสะอาดและการบริโภคและการผลิตอย่างมีความรับผิดชอบ สร้างความมั่นใจในการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนจากความหลากหลายทางชีวภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จากวิกฤตโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ สวทช. จึงได้ปรับรูปแบบการจัดงานให้เหมาะสมในรูปแบบนิวนอร์มอลที่ผู้เข้าร่วมงานไม่ต้องเดินทาง แต่สามารถเข้าร่วมงานออนไลน์เต็มรูปแบบและเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา โดยวันที่ 2 ธันวาคม 2563 ได้รับเกียรติจาก ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีเปิดงาน การเปิดเทรนด์ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง (10 Technologies to Watch) โดย ผู้อำนวยการ สวทช. และกิจกรรม NSTDA Investors’ Day ในรูปแบบ Investment Pitching 11 ผลงานเด่นจากนักวิจัยของ สวทช. และหน่วยงานพันธมิตร รวมถึงการเสวนาและบรรยายพิเศษที่เกี่ยวกับเทรนด์ในการทำธุรกิจแนวใหม่และการปรับตัวธุรกิจให้อยู่รอดได้อย่างไรในยุคนิวนอร์มอล ตลอด 3 วันของการจัดงานจะได้สัมผัสกับผลงานและนวัตกรรมผ่านนิทรรศการออนไลน์ในโซนต่างๆ รวมกว่า 290 ผลงานจาก 40 พันธมิตร ครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ อาหารและเครื่องดื่ม เกษตรและประมง เภสัชภัณฑ์และเครื่องสำอางเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ วัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น แบ่งเป็นโซนเทคโนโลยีแนะนำ (ราคาเดียว) และเทคโนโลยีไฮไลท์ (เจรจาเงื่อนไข) Tech Start Up การเจรจาธุรกิจแบบ One-on-One Matching และขอรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการผลิตและจำหน่าย รวมถึงบูธให้คำแนะนำและบริการแบบครบวงจรจาก สวทช. ที่ช่วยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการ การจำหน่ายสินค้านวัตกรรมของผู้ประกอบการและนักลงทุนที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตหรือให้บริการ โดยตลอดการเข้าชมงานแบบออนไลน์จะมีช่องทางการพบปะพูดคุยและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างใกล้ชิด สำหรับผลงานวิจัยเด่นของ สวทช. และพันธมิตร 11 ผลงาน ประกอบด้วย ไฮบริดชัวร์ การตรวจความบริสุทธิ์เมล็ดพันธุ์อย่างแม่นยำและรวดเร็ว (HybridSure), เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแบบป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสำหรับการแพทย์ฉุกเฉิน (PETE เปลปกป้อง), เครื่องบำบัดและฆ่าเชื้อในอากาศภายในอาคาร (Innovative Air Cleaner), ชุดตรวจโควิด-19 ด้วยเทคนิคแลมป์เปลี่ยนสีในขั้นตอนเดียว (COXY-AMP), โมเดลการผลิตสารทางชีวภาพเป้าหมาย (Smart-BIOact), มหัศจรรย์สีสันยางพารา (The Amazing Rubber Paint), หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีซีแบบแหล่งกำเนิดรังสีเคลื่อนที่ (AGV-Cobot UVC), ชุดตรวจแอนติบอดีต่อเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 (PSU COVID-19), นวัตกรรมการคงสภาพสมุนไพรสด โดยใช้ RF Dry Blanching ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ คงสภาพสีและกลิ่นรสของสมุนไพรในฟิล์มบริโภคได้พร้อมปรุง (RF Dry Blanching), แผ่นฟิล์มถนอมอาหารและยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ (Activ-Pack-19) และออฟติบอท สวทช. ขอเชิญชวนนักลงทุน นักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการ Startup ผู้ที่มองหานวัตกรรมและพร้อมลงทุน และผู้สนใจเข้าร่วมงาน THAILAND […]

เคแบงก์ดันแพลตฟอร์มฟินเวสรับนักลงทุนกองทุน

กรุงเทพฯ 17 พ.ย. เคแบงก์ จับมือ ลู อินเตอร์เนชันแนล และ โรโบเวลธ์ ผนึกพลังพัฒนาแพลตฟอร์ม ‘FinVest’แอปฯ ตอบโจทย์นักลงทุนทุกคน ซื้อขายกองทุนได้ทั้งในไทยและทั่วโลก ตั้งเป้ามูลค่าลงทุนรวมกว่า 14,000 ล้านบาท นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ในปี 2563 ตลาดการเงินในประเทศไทยมีมูลค่า 44 ล้านล้านบาท มีการลงทุนในกองทุนรวมอยู่ 4.8 ล้านล้านบาท หรือราวร้อยละ 10เราพบว่าผู้ลงทุนในกองทุนรวมมีอายุน้อยลง และชอบทำรายการลงทุนบนช่องทางดิจิทัล มีความสนใจในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับตราสารทุนทั้งในและต่างประเทศมากขึ้นนอกจากนี้เรายังพบว่าการลงทุนในรูปแบบ Open Architecture มีแนวโน้มเติบโตขึ้นทุกปี การพัฒนาแพลตฟอร์ม FinVest ในรูปแบบดิจิทัล เป็นการเสริมศักยภาพการลงทุนให้กับนักลงทุนรายย่อยในประเทศไทย สามารถลงทุนในกองทุนรวมได้ทั่วโลกผ่าน FinVest ได้โดยตรง โดยเป็นการพัฒนาดิจิทัลเทคโนโลยีร่วมกันระหว่างธนาคารที่เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลแบงกิ้ง ร่วมกับลู อินเตอร์เนชันแนล (Lu International) ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งอยู่ภายใต้บริษัท ลูแฟ๊กซ์ โฮลดิ้ง (Lufax Holding) ในเครือผิงอันกรุ๊ป (Ping An Group) บริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศจีน ซึ่งมีทีมงานพัฒนาด้านเทคโนโลยีการลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญระดับโลก โดยมี บลน. โรโบเวลธ์ จำกัด บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้าน Wealth Tech เป็นผู้ดูแลการให้บริการแพลตฟอร์ม FinVest เพื่อให้เข้ากับตลาดทุนไทย ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. ความร่วมมือดังกล่าวยังตอกย้ำบทบาทการเป็นผู้ให้บริการทางการเงิน (Banking Service) เต็มรูปแบบ โดยนำความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลแบงกิ้งของธนาคารฯ ผสานกับความเชี่ยวชาญของพันธมิตรระดับโลก และผู้เชี่ยวชาญด้านฟินเทค เพื่อทำให้บริการของธนาคารเข้าไปอยู่ในทุกที่ที่ลูกค้าใช้ชีวิตอยู่ นายคิท วอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลู อินเตอร์เนชั่นแนล (สิงคโปร์) กล่าวว่า ลู อินเตอร์เนชันแนล บริษัทในเครือผิงอันกรุ๊ปซึ่งเป็นกลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน มีจุดแข็งในการบริหารจัดการด้านการลงทุน และมีทีมงานพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่มีความเชี่ยวชาญระดับโลก เล็งเห็นว่าประเทศไทยเป็นตลาดสำคัญที่มีความก้าวหน้าด้านการสร้างการเติบโตในการลงทุน และเศรษฐกิจ อย่างรวดเร็วที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทย และโรโบเวลธ์ ในการพัฒนาและให้บริการแพลตฟอร์มการลงทุน ‘FinVest’ จะช่วยตอบสนองความต้องการของนักลงทุนในยุคปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับการนำดิจิทัลเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือในการลงทุนด้วยตัวเอง ลู อินเตอร์เนชันแนล เชื่อมั่นว่าการนำเสนอแพลตฟอร์ม ‘FinVest’ สู่ตลาดไทยจะช่วยยกระดับการลงทุนในรูปแบบดิจิทัลของไทยไปสู่แถวหน้าของภูมิภาค นายชลเดช เขมะรัตนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) โรโบเวลธ์ จํากัด กล่าวว่า  ประเทศไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัยสมบูรณ์ แต่ประชากรส่วนใหญ่ยังไม่มีแผนการลงทุนเพื่อให้มีเงินเพียงพอต่อชีวิตหลังเกษียณ จากประชากร 70 ล้านคนในประเทศไทย มีน้อยกว่า 5% ที่เป็นผู้ลงทุนโดยตรงในตลาดหลักทรัพย์หรือลงทุนผ่านกองทุนรวม เนื่องจากคนทั่วไปมักกังวลเรื่องความเสี่ยง คิดว่าการลงทุนเป็นเรื่องยาก ทำให้ต้องใช้เวลามาก และมีความเข้าใจผิดว่าการลงทุนเป็นเรื่องของคนรวยเท่านั้น การให้บริการบนแพลตฟอร์ม ‘FinVest’ จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้นักลงทุนเข้าถึงช่องทางลงทุนที่มีประสิทธิภาพได้ โดยการได้รับข้อมูลวิเคราะห์การลงทุนในรูปแบบที่กระชับและเข้าใจง่าย นำไปสู่ผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลา ที่ได้ผ่านการคัดเลือกโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญร่วมกับผู้บริหารใน Product Screening Committee โดยโรโบเวลธ์จะให้บริการการเปิดบัญชี ซื้อขายหน่วยลงทุน ตลอดจนศูนย์บริการลูกค้า ผ่านแพลตฟอร์ม ‘FinVest’ ซึ่งเชื่อมต่อกับ Robowealth Open API ควบคู่ไปกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ ของบริษัท ‘FinVest’ คือ แพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการลงทุน ภายใต้แนวคิด ‘ติดปีกการลงทุนให้คุณ’ ทำให้นักลงทุนไทยเข้าถึงการลงทุนได้ “ง่าย” เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน FinVest จะได้รับข้อมูลที่มีเนื้อหาเข้าใจง่าย คมชัด และ “ชี้เป้า” การลงทุนอย่างเป็นกลาง และสามารถเปิดบัญชีได้ผ่านสมาร์ทโฟน โดยลูกค้าเลือกผูกบัญชีกับธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย หรือธนาคารไทยพาณิชย์ได้ เน้นความ “หลากหลาย” สามารถลงทุนในกองทุนรวมต่าง ๆ ของบลจ.ชั้นนำในประเทศไทย 15 บลจ. ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 90% ของอุตสาหกรรม และบลจ.ชั้นนำจากทั่วโลกผ่านแอปฯ FinVest ได้โดยตรง กระบวนการทำงานทุกขั้นตอนมีความ “น่าเชื่อถือ” ที่ได้มาตรฐานฟินเทคระดับโลก-สำนักข่าวไทย.

เฟสบุ๊กจับมือพันธมิตรเพิ่มความรู้เอสเอ็มอี

กรุงเทพฯ 17 พ.ย. เฟสบุ๊กจับมือพันธมิตร เพิ่มพูนความรู้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ฝ่าวิกฤติโควิด-19 นางสาวเบธ แอน ลิม ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายโครงการเพื่อชุมชน ประจำ เฟสบุ๊ก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า ในขณะที่ธุรกิจในประเทศไทยกำลังปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสภาวะนิวนอร์มอล เรายังคงมุ่งมั่นที่จะให้ความช่วยเหลือธุรกิจเหล่านั้นในการฟื้นตัว และต้องทำให้แน่ใจว่าความพยายามของเราจะเข้าถึงคนทุกกลุ่มโดยไม่มีข้อแม้ ไม่ว่าพวกเขาจะมีความสามารถเพศวิถี และภูมิหลังด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างไร จากการดำเนินโครงการนี้ เราคาดหวังที่จะเป็นเหมือนสะพานเชื่อมเพื่อช่วยลดปัญหาช่องว่างทางทักษะ ด้วยการให้ความรู้ เสริมสร้างทักษะ และสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย และชุมชนที่มีความหลากหลาย รวมถึงช่วยเสริมสร้างศักยภาพการฟื้นตัวของกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงมากที่สุดโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เราทุกคนกำลังก้าวผ่านผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นสถานการณ์ระดับโลกความคืบหน้าของโครงการ Boost with Facebook เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนจากทุกภาคส่วน ในช่วงใกล้สิ้นปีภายใต้ความร่วมมือกับมูลนิธิคีนันแห่งเอเซีย เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลลัพธ์ล่าสุดของโครงการฝึกอบรม Boost with Facebook ที่มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ความร่วมมือยังรวมถึงการประกาศเปิดตัวคู่มือพลิกสถานการณ์เสริมสร้างศักยภาพการฟื้นตัวของธุรกิจขนาดย่อมที่ถูกจัดทำขึ้นใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเฟสบุ๊กประเทศไทย ในการสนับสนุนธุรกิจขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 และการกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล  โครงการ Boost with Facebook ได้เสริมสร้างทักษะดิจิทัลที่จำเป็นให้แก่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวมถึงผู้ประกอบการชาวไทย เพื่อช่วยผลักดันการเติบโตของธุรกิจของพวกเขา โดยช่วงที่ผ่านมาในปีนี้ การจัดฝึกอบรมในรูปแบบออนไลน์ภายใต้โครงการของเฟสบุ๊กซึ่งเปิดรับสมัครบุคคลทั่วไปโดยไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถเข้าถึงคนไทยกว่า 2.3 ล้านคน นอกจากกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทยและบุคคลทั่วไปแล้ว เฟสบุ๊กยังได้ดำเนินงานร่วมกับมูลนิธิคีนันแห่งเอเซียและพันธมิตรชุมชนต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าการจัดฝึกอบรมของโครงการสามารถเข้าถึงผู้ประกอบการที่มาจากชุมชนชายขอบที่มีความสำคัญ เพื่อมอบโอกาสในการสนับสนุนการเติบโตเชิงเศรษฐกิจแก่ชุมชนที่มีความหลากหลาย ด้านนายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานอำนวยการมูลนิธิคีนันแห่งเอเซีย กล่าวว่า มูลนิธิคีนันแห่งเอเซียได้ร่วมมือกับเฟสบุ๊กเพื่อสนับสนุนธุรกิจขนาดย่อมและผู้ประกอบการชาวไทย ด้วยทักษะและความเข้าใจที่มีต่อความรู้ด้านดิจิทัลที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นผ่านการดำเนินงานร่วมกับภาครัฐ ประชาสังคม และภาคเอกชน เราได้มองเห็นถึงการเติบโตของผู้ที่เข้าร่วมโครงการจากคะแนนหลังการฝึกอบรมของพวกเขา และการนำความรู้ที่ได้ไปใช้งานจริง เราเรียนรู้จากประสบการณ์ของเราว่าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในไทยจำนวนมาก โดยการจัดฝึกอบรมให้แก่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจากกลุ่มชุมชนชายขอบในประเทศไทย 2,183 ราย ผ่านการจัดฝึกอบรมในรูปแบบออฟไลน์ 19 ครั้งและออนไลน์ 27 ครั้ง โดยร้อยละ 60 ของผู้ที่เข้ารับการฝึกอบรมเป็นผู้ประกอบการหญิง และร้อยละ 38 มาจากชุมชนชายขอบที่มีความสำคัญ เช่น กลุ่มเพศทางเลือก (LGBTQI) กลุ่มผู้พิการ กลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวี และชนกลุ่มน้อย  นายมานพ เอี่ยมสะอาด รองประธานบริหาร บริษัทเรย์วิสาหกิจเพื่อสังคมจำกัด องค์กรเพื่อช่วยเหลือผู้พิการให้มีทางเลือกที่เปิดกว้างพร้อมด้วยศักยภาพในการดำเนินชีวิตอย่างที่ต้องการได้มากขึ้น กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ทำให้คนทั่วไปได้รับผลกระทบจากการถูกเลิกจ้างมากขึ้น อย่างบริษัทต่างๆ ที่เคยมีการจ้างงานผู้พิการตามอัตราโควต้า 1:100 พอบริษัทต้องปลดพนักงานทั่วไปออกเป็นหมื่นๆ คน โอกาสของการจ้างงานคนพิการก็ยิ่งน้อยลงอีก ปัญหาสำคัญที่เรามองเห็นคือความท้าทายสำหรับชุมชนผู้พิการที่จะผันตัวเองไปประกอบอาชีพอื่นๆ เมื่อเทียบกับคนทั่วไป การที่ได้มาร่วมอบรมในโครงการBoost with Facebook ทำให้เขามีโอกาส เรียนรู้เทคนิคการทำการตลาดออนไลน์มากขึ้น เราเห็นผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรม เช่นภายในกลุ่มของเรา มีสมาชิกที่เริ่มมีอาชีพส่วนตัว หันมาขายของออนไลน์มากขึ้น หรืออย่างน้อยพวกเขาเริ่มเรียนรู้การใช้งาน เครื่องมือของเฟสบุ๊กและเป็นการเปิดช่องทางให้เขามีพื้นที่ได้แสดงออกหรือสื่อสารประสบการณ์ ของพวกเขา ทำให้รู้สึกมีคุณค่า หรือมีอิสระในการหาโอกาสใหม่ให้กับตัวเองมากขึ้น-สำนักข่าวไทย.

ยินดี! เกาะทะลุเต่ากระ “แม่ศรีสุดา” วางไข่ 178 ฟอง

ธรรมชาติสมบูรณ์ อุทยานฯ อ่าวสยาม ติดตามการฟักตัวไข่เต่าทะเล ล่าสุดพบแม่เต่ากระ กระดองติดไมโครชิป ตั้งชื่อ “ศรีสุดา” วางไข่ 178 ฟอง เกาะทะลุ ประจวบคีรีขันธ์ คาดเป็นตัวเดียวกับที่วางไข่เมื่อ ต.ค. 4 รัง

ปลัดดีอีเอสแจงปมดาวเทียมไทยม5

กรุงเทพฯ 17 พ.ย. ดีอีเอส โต้ข้ออ้างไทยคมเลี่ยงความรับผิดชอบ กรณีดาวเทียมชำรุดก่อนครบสัญญา น.ส.อัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า กรณีดาวเทียมไทยคม 5 ซึ่งประสบปัญหาขัดข้องจนต้องปลดระวางก่อนวันครบกำหนดสัญญาสัมปทาน ที่ผ่านมากระทรวงฯ ในฐานะคู่สัญญากับ บมจ. ไทยคม ซึ่งเป็นเอกชนผู้รับสัมปทาน ได้เจรจาให้ บริษัทแสดงความรับผิดชอบเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายทั้งกับลูกค้าผู้ใช้บริการ และกับรัฐในฐานะผู้ให้สัมปทาน อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อยุติร่วมกัน และล่าสุดผู้บริหาร บมจ.ไทยคม ออกมากล่าวอ้างให้ข้อมูลเพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ ในการปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาสัมปทาน ดังนั้น กระทรวงฯ จำเป็นต้องออกมาให้ข้อเท็จจริงเพื่อตอบโต้ข้อกล่าวอ้างของเอกชนในประเด็นหลักๆ  ดังนี้ การที่ผู้บริหารของไทยคม ระบุว่าได้ดำเนินการตามเงื่อนไขในสัญญาสัมปทานครบถ้วนมาตลอดนั้น สัญญาสัมปทานนี้ทำขึ้นเมื่อปี 2534 มีข้อกำหนดชัดเจนให้บริษัทฯ มีหน้าที่จัดสร้างและจัดส่งดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ โดยมีดาวเทียมหลักและดาวเทียมสำรองซึ่งจัดส่งขึ้นสู่วงโคจรให้ทันใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่องกับการสิ้นอายุของดาวเทียมดวงก่อน อีกทั้ง เมื่อถึงวันสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน บริษัทฯ ต้องส่งมอบทรัพย์สินภายใต้สัญญาฯ คืนให้กระทรวงฯ โดยดาวเทียมต้องอยู่ในสภาพใช้งานได้ ณ ตำแหน่งวงโคจร รวมทั้งสถานีควบคุมดาวเทียมและอุปกรณ์ต่างๆ ต้องอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดี  ทั้งนี้ จากข้อสัญญาข้างต้น ชัดเจนว่าเงื่อนไขสำคัญ ไม่ได้อยู่ที่จำนวนดาวเทียมที่บริษัทฯ มีการจัดสร้างเพื่อให้บริการ และในวันสิ้นสุดอายุสัญญา ทรัพย์สินในโครงการทั้งหมดที่ต้องส่งมอบให้กับกระทรวงฯ ซึ่งเป็นเจ้าของสัมปทานดาวเทียมไทยคมต้องยังอยู่ในสภาพใช้งานได้ดี และสามารถให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในส่วนของอายุดาวเทียมไทยคม 5 ซึ่งขึ้นสู่วงโคจรเพื่อให้บริการในปี 2549 นั้น กระทรวงฯ เคยได้รับแจ้งจากบริษัทฯ เมื่อปลายปี 2560 ว่า ดาวเทียมดวงนี้จะหมดอายุทางวิศวกรรมในช่วงไตรมาส 3 ปี 2563 เนื่องจากเชื้อเพลิงในระบบขับเคลื่อนจะหมด พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยื่นข้อเสนอขอเชื่อมต่อระบบขับเคลื่อนเพิ่มเติมให้กับดาวเทียมไทยคม 5 และขอแก้อายุสัญญาสัมปทาน  “สำหรับข้อเสนอครั้งนั้น กระทรวงฯ เห็นชอบหลักการให้บริษัทฯ เฉพาะในเรื่องคำขอเชื่อมต่อระบบขับเคลื่อนเพิ่มเติมให้กับดาวเทียมไทยคม 5 ซึ่งบริษัทก็ได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการเมื่อเดือนสิงหาคม 2562” น.ส.อัจฉรินทร์กล่าว อย่างไรก็ตาม ในเดือนธันวาคม 2562 บริษัทฯ ได้แจ้งว่าเกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิคของระบบแจ้งสถานะของดาวเทียมไทยคม5 และพยายามทำการแก้ไขแต่ไม่สำเร็จ และได้แจ้งว่าจะต้องปลดระวางดาวเทียมออกจากวงโคจร ซึ่งกระทรวงฯ ได้แต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบทางเทคนิค และพบว่าไทยคม 5 เกิดการขัดข้องจริง โดยเกิดจากระบบแจ้งเตือนสถานะบนดาวเทียม (Telemetry) ไม่ส่งสัญญาณลงมา โดยเป็นการเสียแบบเฉียบพลัน ประกอบกับเมื่อปี 2561 บริษัทฯ พบปัญหาอุปกรณ์ Telemetry ตัวที่ 1 ใช้งานไม่ได้ และตัดสินใจใช้งานตัวสำรองแทน ซึ่งเป็นการดำเนินการโดยไม่เคยแจ้งให้กระทรวงฯ รับทราบ “จากข้อเท็จจริงข้างต้น จึงไม่สอดคล้องกับข้ออ้างของ บมจ.ไทยคม ที่ให้ข้อมูลกับสื่อว่า ดาวเทียมไทยคม 5 ชำรุด เพราะหมดอายุวิศวกรรมและใช้งานเกินกว่าอายุที่กำหนด” ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าว นอกจากนี้ การที่บริษัทปลดระวางดาวเทียมไทยคม 5 เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นหน้าที่ของบริษัทฯ ที่จะดำเนินการตามข้อปฏิบัติสากล กระทรวงฯ รับทราบว่าต้องดำเนินการแต่ไม่ได้อนุมัติหรือเห็นชอบ และกระทรวงฯ ได้มีหนังสือแจ้งให้บริษัทฯ ดำเนินการตามข้อกำหนดของสัญญาฯ หลังการปลดระวางด้วย เช่นเดียวกับการปลดระวางดาวเทียมดวงก่อนๆหน้านี้  อีกประเด็นสำคัญเกี่ยวกับสัญญาสัมปทานไทยคม ก็คือ ข้อสัญญาเกี่ยวกับการชำระส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ซึ่งมีการจัดทำร่วมกันตั้งแต่ปี 2534 ซึ่งกำหนดผลประโยชน์ตอบแทนที่บริษัทฯ ต้องชำระให้กับกระทรวงฯเป็นร้อยละของรายรับรวมทั้งสิ้นในแต่ละปีก่อนหักค่าใช้จ่าย หรือให้ผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ โดยเอาจำนวนผลประโยชน์ที่สูงกว่าเป็นเกณฑ์  ดังนั้นข้อมูลที่เอกชนกล่าวอ้าง ถึงตัวเลขที่มีการชำระค่าส่วนแบ่งรายได้ของดาวเทียมจนถึงปัจจุบัน ว่า เป็นจำนวนเงินที่สูงกว่าจำนวนขั้นต่ำที่กำหนดไว้ในสัญญา จึงถือเป็นข้อมูลที่อาจสร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อสาธารณชน ที่ไม่ทราบถึงรายละเอียดของสัญญาในประเด็นนี้-สำนักข่าวไทย.

วางทุ่นชุดใหม่ทะเลอันดามันตรวจวัดคลื่นสึนามิ

ภูเก็ต 16 พ.ย.- รองอธิบดี ปภ. ลงภูเก็ตปล่อยเรือวางทุ่นตรวจวัดคลื่นสึนามิทะเลอันดามัน แทนชุดเดิมที่ครบวงรอบ 2 ปี บำรุงรักษา กำหนดแล้วเสร็จ 29 พ.ย.นี้ ชี้เป็นอุปกรณ์เตือนภัยมีประสิทธิภาพ สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนและนักท่องเที่ยว หลังเกิดคลื่นยักษ์ถล่ม 26 ธ.ค.47 ชายฝั่ง 6 จังหวัด หลายชีวิตดับสูญ วันนี้ (16 พ.ย.) นายเชษฐา โมลิกรัตน์ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เป็นประธานพิธีปล่อยเรือวางทุ่นตรวจวัดคลื่นสึนามิในทะเลอันดามันและมหาสมุทรอินเดียชุดใหม่ทดแทนทุ่นเดิมที่ครบวงรอบการบำรุงรักษา โดยมีว่าที่ร้อยตรีวิกรม จากที่รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมในพิธี ณ ท่าเทียบเรือน้ำลึก ตำบลวิชิต อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต นายเชษฐา กล่าวว่า เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 เกิดแผ่นดินไหวใต้ทะเลในมหาสมุทรอินเดีย ทำให้มีแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวจนเกิดเหตุการณ์คลื่นสึนามิ ทำลายบ้านเรือนและสถานที่ท่องเที่ยวตามแนวชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียและ 6 จังหวัดฝั่งอันดามันของประเทศไทย มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ซึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบ มีทั้งประเทศไทย อินโดนีเซีย ศรีลังกา […]

เอกชนพร้อมเดินหน้าระบบติดตามนักท่องเที่ยวรับมือโควิด-19

กรุงเทพฯ 16 พ.ย. เอกชนพร้อมให้บริการระบบติดตามนักท่องเที่ยวใน State Quarentine วอนรัฐให้ความชัดเจนมาตรการสร้างความมั่นใจนักท่องเที่ยว นายฉัตรชัย ตั้งจิตตรง กรรมการผู้จัดการ บริษัททีเอ็มเอส โฮลดิ้ง กล่าวว่า บริษัทฯ มีประสบการณ์ในการทำระบบติดตามและดูแลผู้สูงอายุในบ้านพักคนชราที่มลรัฐฟอริด้า สหรัฐอเมริกา ก่อนจะเป็นผู้ให้บริการระบบติดตามสุขภาพนักท่องเที่ยวให้กับโรงแรมของหมู่เกาะเคแมน 6 แห่ง ภายใต้ชื่อโครงการ Hotel Bubble โดยบริษัทฯให้บริการอุปกรณ์ติดตามตัวด้วยสายรัดข้อมือ พร้อมระบบจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าพักในโรงแรมซึ่งเป็นการดำเนินมาตรการ State Quarentine เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 “เมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง(ตม.)จะเข้าพักในโรแรมทร่เป็น State Quarentine เป็นเวลา 14 วัน นักท่องเที่ยวจะได้รับสายรัดข้อมือที่มีอุปกรณ์เก็บข้อมูลทางสุขภาพของนักท่องเที่ยว อุปกรณ์จะส่งข้อมูลไปเก็บไว้ที้ dashboard (ระบบจัดเก็บและประมวลผลข้อมูล) เพื่อแสดงผลการติดตามสุขภาพของนักท่องเที่ยว ตัวรีสแบนด์ จะเก็บข้อมูลพื้นฐานทางสุขภาพ การเดิน การนอน และข้อมูลเกี่ยวกับอุณหภูมิของนักท่องเที่ยวซึ่งสำคัญมากกับการเฝ้าระวังโควิด-19 หากเกิดความผิดปกติระบบจะแจ้งเตือนนักท่องเที่ยว เพื่อให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเข้ามาดูและ รวมถึงหากเกิดเหตุผิดปกตินักท่องเที่ยวสามารถกดปุ่มแจ้งเตือนได้ด้วยตัวเอง” นายฉัตรชัย กล่าวอีกว่า การให้บริการที่หมู่เกาะเคแมนถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีโดยยังให้บริการต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ในฐานะบริษัทของคนไทยจึงอยากน้ระบบนี้มาให้บริการในประเทศไทยที่มีมูลค่าของการท่องเที่ยวมากมหาศาล โดยระบบและอุปกรณ์ที่จะเอามาให้บริการเป็นระบบเดียวกักับที่ให้บริการที่หมู่เกาะเคแมน โดยบริษัทฯได้ทำโครงการนำร่องที่ท่าเรืออ่าวปอ จ.ภูเก็ตไปแล้ว “ทีเอ็มเอสพร้อมให้บริการในพื้นที่ที่กำหนดเป็น State […]

1 8 9 10 11 12 16,774
...