กรุงเทพฯ 6 ก.ค.-เอกชนเผย ต้องหั่นกำไรเพื่อรักษายอดขาย หลังราคาพลังงานดันต้นทุนการผลิตเพิ่ม 20% พร้อมขอให้รัฐขยายเวลาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร ออกไปอีก 2-3 เดือน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและลดภาระผู้ประกอบการ
นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 18 ในเดือนมิถุนายน 2565 ภายใต้หัวข้อ “ภาคอุตสาหกรรมจะรับมือกับวิกฤตพลังงานแพงอย่างไร” โดยผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่า วิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย–ยูเครน ทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลทำให้ภาคอุตสาหกรรมต้องแบกรับภาระต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นกว่า 20% สวนทางกับการปรับราคาขายสินค้าและบริการในช่วงที่ผ่านมา ที่มีการปรับเพิ่มขึ้นได้น้อยกว่า 10% เนื่องจากต้องการรักษายอดขาย ขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาด รวมทั้ง การปฏิบัติตามมาตรการควบคุมราคาสินค้าของรัฐ โดยผู้บริหาร ส.อ.ท. คาดว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบโลกช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 จะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับ 120-140 ดอลลาร์ต่อบาเรล จากภาวะสงครามที่ยืดเยื้อประกอบกับมาตรการตอบโต้ระหว่างชาติตะวันตกและรัสเซียที่มีความเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะการที่สหภาพยุโรป (EU) มีมติระงับการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย 90% ภายในสิ้นปีนี้
พร้อมเสนอขอให้รัฐขยายเวลาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร ที่กำลังจะสิ้นสุดในวันที่ 20 กรกฎาคม 2565 ออกไปอีก 2-3 เดือน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและช่วยลดภาระต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ ส่วนมาตรการแก้ไขปัญหาวิกฤตพลังงานในระยะยาว รัฐควรส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้เกิดการใช้พลังงานหมุนเวียนในภาคธุรกิจและภาคประชาชน สนับสนุนให้เกิดการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงานในภาคการผลิต ควบคู่ไปกับการทบทวนโครงสร้างราคาพลังงานให้เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย นอกจากนี้ยังได้แนะนำให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมเร่งปรับตัวรับมือกับวิกฤตพลังงานด้วยการลงทุนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนใช้เองภายในโรงงาน ปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน รวมทั้งนำระบบการบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management System: EMS) มาใช้และปรับแผนการผลิต/โลจิสติกส์เพื่อลดต้นทุนพลังงานในช่วงนี้
โดยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งนี้ เป็นการตอบคำถามจากผู้บริหาร ส.อ.ท. จำนวน 165 คน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด จากคำถาม 6 ข้อ ดังนี้
1. ภาวะราคาพลังงานแพงในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตอย่างไร
อันดับที่ 1 : ผู้บริหาร ส.อ.ท. 38.8% ระบุว่า ภาวะราคาพลังงานแพงในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อต้นทุนขึ้น 20%
อันดับที่ 2 : ผู้บริหาร ส.อ.ท. 30.3% ระบุว่า ภาวะราคาพลังงานแพงในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อต้นทุนเพิ่มขึ้น 10%
อันดับที่ 3 : ผู้บริหาร ส.อ.ท. 23.3% ระบุว่า ภาวะราคาพลังงานแพงในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อต้นทุนเพิ่มขึ้น 30% 23.0%
อันดับที่ 4 : ผู้บริหาร ส.อ.ท. 7.9% ระบุว่า ภาวะราคาพลังงานแพงในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อต้นทุนเพิ่มขึ้น ต้นทุนเพิ่มขึ้น 40%
2. ผลกระทบของต้นทุนราคาพลังงานและวัตถุดิบแพง ทำให้อุตสาหกรรมท่านต้องปรับราคาขายสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นแล้วเท่าใด เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงต้นปี 2565
อันดับที่ 1 : 44.9% บอกว่า ปรับราคาเพิ่มขึ้น น้อยกว่า 10%
อันดับที่ 2 : 38.8% บอกว่า ปรับราคาเพิ่มขึ้น 10-20%
อันดับที่ 3 : 12.7% บอกว่า ปรับราคาเพิ่มขึ้น 20-30%
อันดับที่ 4 : 3.6% บอกว่า ปรับราคาเพิ่มขึ้น มากกว่า 30%
3. แนวทางการดำเนินงานในเรื่องใดที่ท่านคิดว่าจะช่วยลดผลกระทบจากราคาพลังงานแพงในช่วงนี้
อันดับที่ 1 : 62.4% บอกว่า ขยายเวลาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5 บาทต่อลิตร
อันดับที่ 2 : 60.6% บอกว่า ขอความร่วมมือโรงกลั่นฯ ลดกำไรจากค่าการกลั่น และนำมาช่วยลดราคาน้ำมันสำเร็จรูป
อันดับที่ 3 : 60.0% บอกว่า รณรงค์และดำเนินโครงการให้ทุกภาคส่วนประหยัดและลดการใช้พลังงาน
อันดับที่ 4 : 55.2% บอกว่า เจรจานำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย
4. ภาครัฐควรดำเนินการเพื่อป้องกันปัญหาวิกฤตพลังงานในระยะยาวอย่างไร
อันดับที่ 1 : ส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานหมุนเวียนในภาคธุรกิจและภาคประชาชน 76.4%
อันดับที่ 2 : สนับสนุนการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน 73.9%
อันดับที่ 3 : ทบทวนโครงสร้างราคาพลังงานให้เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย 61.8%
อันดับที่ 4 : ผลักดันการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในภาคขนส่งเต็มรูปแบบ 58.8%
5. ภาคอุตสาหกรรมควรมีการปรับตัวรับมือกับราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างไร
อันดับที่ 1 : การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนใช้ภายในโรงงาน 69.7%
อันดับที่ 2 : ปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน 67.9%
อันดับที่ 3 : นำระบบการบริหารจัดการพลังงาน (EMS) มาใช้ และปรับแผนการผลิต/โลจิสติกส์เพื่อลดต้นทุนพลังงาน 60.0%
อันดับที่ 4 : ส่งเสริมการใช้การขนส่งหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) เช่น ระบบราง, เรือ และทางรถ 50.9%
6. คาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบโลกช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565
อันดับที่ 1 : 120-140 ดอลลาร์ต่อบาเรล 44.3%
อันดับที่ 2 : 100-120 ดอลลาร์ต่อบาเรล 33.3%
อันดับที่ 3 : มากกว่า 140 ดอลลาร์ต่อบาเรล 18.8%
อันดับที่ 4 : ต่ำกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาเรล 3.6% .-สำนักข่าวไทย