กรุงเทพฯ 24 มิ.ย. – ส.อ.ท. เผยยอดผลิตรถยนต์เดือนพฤษภาคม 139,186 คัน พลิกกลับมาโตได้ครั้งแรกในรอบ 21 เดือน โดยเพิ่มขึ้น 10.32% โดยได้แรงหนุนจากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า BEV ที่โตพุ่ง 641.16% ขณะที่ยอดขายในประเทศโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ที่ 52,229 คัน
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า เดือนพฤษภาคม 2568 ผลิตรถยนต์ได้ทั้งสิ้น 139,186 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน ร้อยละ 33.51 และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 10.32 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนแรกในรอบ 21 เดือน จากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า BEV และ PHEV เพิ่มขึ้นร้อยละ 641.16 และ 130.49 ตามลำดับ ส่งผลให้การผลิตรถยนต์นั่งเพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 63.88 รวมทั้งผลิตรถ PPV เพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 138.65 รวม 5 เดือน (ม.ค.-พ.ค.) ผลิตรถยนต์ได้ 594,492 คัน ลดลงจากปีที่แล้ว ร้อยละ 7.82
ส่วนยอดขายรถยนต์ภายในประเทศ มีทั้งสิ้น 52,229 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.67 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ต่อจากเดือนเมษายน จากการขายรถยนต์ไฟฟ้า BEV PHEV และรถยนต์นั่งเครื่องยนต์สันดาปภายในเพิ่มขึ้นร้อยละ 118.64 , 234.68 และ 3.19 ตามลำดับ จากราคาที่จับต้องได้มากขึ้น แต่ยอดขายรถกระบะยังคงลดลงร้อยละ 24.84 จากการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินเพราะหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจในประเทศที่ยังอ่อนแอจากการลงทุนภาคเอกชนที่ยังต่ำรวมทั้งค่าครองชีพที่สูงขึ้น อีกทั้งการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลงจากนักท่องเที่ยวจีนที่กังวลเรื่องความปลอดภัย กังวลเรื่องงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่จะไม่ได้ใช้ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้จากปัญหาการเมืองที่ขัดแย้งกันซึ่งจะซ้ำเติมเศรษฐกิจของประเทศที่ทรุดอยู่แล้วทรุดลงมากขึ้นไปอีก

“ในส่วนของยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV 5 เดือน อยู่ที่ 53,955 คัน เพราะค่ายรถเร่งผลิตชดเชยตามมาตรการที่ EV3.0 และ 3.5 ซึ่งคาดว่าปีนี้จะทะลุ 1 แสนคัน แต่ทั้งนี้ก็ยังมีปัจจัยที่ต้องจับตาไม่ว่าจะเป็นการผ่านงบประมาณปี 69 ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศต่างๆ เนื่องจากมีผลต่อเศรษฐกิจ และยังต้องจับตาการเจรจาภาษี Reciprocal Tariffs กับสหรัฐว่าจะลดภาษีลงจาก 36% หรือไม่ และต้องเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านด้วย หากภาษีที่เรียกเก็บกับเราน้อยกว่าก็ถือว่าเรายังได้เปรียบ” นายสุรพงษ์ กล่าว
ส่วนการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 81,071 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วร้อยละ 23.34 แต่ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567 ร้อยละ 9.20 ลดลงจากการหยุดผลิตรถยนต์นั่งบางรุ่นที่เลิกส่งออกไปสหรัฐอเมริกาและยุโรป จากการเข้มงวดเรื่องอุปกรณ์ช่วยเหลือในการขับ จึงไม่มีรถยนต์นั่งส่งออกไปในตลาดยุโรป แต่ส่งออกรถกระบะเพิ่มขึ้นตามจำนวนการผลิตรถกระบะส่งออกมากขึ้นในเดือนพฤษภา และส่งออกเพิ่มขึ้นในตลาดออสเตรเลีย ตะวันออกกลางด้วย รถยนต์ HEV ยังส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.48 การส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนยังคงมีความไม่แน่นอนทั้งภาษีนำเข้าของอเมริกา ความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจและการค้าโลกชะลอตัวลง
สำหรับโครงการรถเก่าแลกรถใหม่ เป็นข้อเสนอที่ทางกระทรวงการคลังจะเข้า ครม. ซึ่งน่าจะทำให้ยอดขายในประเทศดีขึ้น ปัจจุบันรถเก่าอายุ 20 ปี ในระบบมีประมาณ 2 ล้านคัน มีโอกาสเกิดขึ้นได้ อยู่ที่ว่าจะลดภาษีรุ่นไหน และมีเงื่อนไขอย่างไร ขณะเดียวกัน รัฐต้องคุยกับไฟแนนซ์ด้วยเพื่อให้อนุมัติสินเชื่อมากขึ้น ไม่อย่างนั้นโครงการไม่เดิน และควรมีกองทุน 5,000 ล้านบาท เหมือนที่ทำกับรถกระบะมารองรับ เพื่อไม่ให้รถขาดทุนต้องไม่เกิน 50,000 บาทต่อคัน ซึ่งอาจจะช่วยกระตุ้นยอดขายรถทั้งระบบได้ 50,000-100,000 คัน. -517-สำนักข่าวไทย