กรุงเทพฯ 1 มี.ค. – ปตท.เร่งเครื่องธุรกิจอีวี รองรับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น เผยมีค่ายรถยนต์หลายค่ายพร้อมใช้แพลตฟอร์ม ร่วมทุน Foxconn ตั้งงบทั้งกลุ่ม ปตท. เตรียมพร้อมจบดีลลงทุนในอนาคต 5 ปี รวม 7.47 แสนล้านบาท เชื่อมั่น “กัลฟ์” ยังเดินหน้าตามสัญญาซื้อแอลเอ็นจีป้อนไอพีพี 5,000 เมกะวัตต์
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โครงการร่วมมือกับ ฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn) บริษัทร่วมทุนเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายตลาดและสร้างฐานการผลิต EV ในไทย คาดจะตัดสินใจขั้นสุดท้าย ในกลางปี 2565 ทุนจดทะเบียน 3,200 ล้านบาท และจะเริ่มลงทุนก่อสร้างแพลตฟอร์มประกอบรถยนต์อีวีให้กับทุกค่าย โดยเบื้องต้นระยะที่ 1 วงเงินลงทุน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะเปิดผลิตได้ในปี 2567 กำลังผลิต 50,000 คัน/ปี และระยะที่ 2 จะผลิต 150,000 คัน/ปี ภายในปี 2575 ซึ่งในขณะนี้มีหลายกลุ่มเข้ามาเจรจา เพื่อขอใช้แพลตฟอร์มนี้ในการผลิตยานยนต์อีวีมาจำหน่าย ตามทิศทางความนิยมที่พุ่งสูงขึ้น

ในขณะที่ ปตท.เดินหน้าอีวีครบวงจรทุกด้าน โดยในส่วนของการบริการให้เช่ารถอีวี ปรากฏว่าเป็นที่นิยมมาก ดังนั้น เตรียมแผนจะเพิ่มจำนวนรถบริการเป็น 500 คัน จากปัจจุบัน 200 คัน มียอดจองสูงถึงร้อยละ 90
นายอรรถพล ยังกล่าวด้วยว่า ในส่วนโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ระยะที่ 2 หนองแฟบ ความจุ 7.5 ล้านตันนั้น ปตท.ได้เร่งรัดก่อสร้างและพร้อมจะเริ่มเปิดดำเนินการ 2.5 ล้านตัน เดือนมิถุนายน 2565 เพื่อรองรับปัญหาปริมาณก๊าซฯ ในประเทศที่ลดลงจากคาดการณ์เดิม ทั้งแหล่งเอราวัณ และรองรับในกรณีที่การส่งก๊าซฯ จากเมียนมาอาจได้รับผลกระทบจากนานาชาติคว่ำบาตรเมียนมา ในขณะเดียวกัน ปตท.ก็ยังคงจัดหาก๊าซฯ ตามสัญญาของผู้ซื้อที่ลงนามร่วมกัน โดยในส่วนของกลุ่มกัลฟ์ ในส่วนของโรงไฟฟ้าใหม่ไอพีพี 5,000 เมกะวัตต์ ได้ลงนามสัญญาก๊าซฯ กับ ปตท.ไว้แล้ว จึงเชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามสัญญา โดยหากจะมีการยกเลิกใดๆ แล้วเกิดความเสียหาย ก็จะสามารถฟ้องร้องได้ ซึ่งกรณีโรงไฟฟ้าหินกอง ที่กลุ่มกัลฟ์เป็นผู้ร่วมทุนก่อสร้าง โรงนี้ไม่
ได้ลงนามซื้อก๊าซแอลเอ็นจีจาก ปตท. ทางบริษัทก็สามารถนำเข้าได้ไม่มีปัญหา
ส่วนโครงการยาดานาในเมียนมา ที่โททาลประกาศถอนการลงทุน และเชฟรอนฯ อาจจะถอนการลงทุนตาม เพื่อดำเนินการตามมาตรการคว่ำบาตรรัฐบาลทหารเมียนมานั้น ทาง ปตท.ก็ติดตามสถานการณ์ โดยโครงการนี้มีความสำคัญต่อประชาชนทั้ง 2 ประเทศ เพราะผลิตก๊าซฯ ในสัดส่วนเพื่อผลิตไฟฟ้าในไทยร้อยละ 10 และในเมียนมา ร้อยละ 50 หากหยุดผลิตก็จะกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ กระทบต่อสิทธิมนุษยชนเช่นกัน ดังนั้น ก็ไม่ควรต้องหยุดผลิต ส่วน ปตท.จะเข้าไปถือหุ้นแทนหรือไม่ ก็ต้องพิจารณาให้เหมาะสม

ในด้านธุรกิจถ่านหินในอินโดนีเซียนั้น ปตท.ตั้งเป้าจะขายกิจการออกไป แม้ว่าช่วงนี้ราคาถ่านหินตลาดโลกจะสูงขึ้นก็ตาม โดยความชัดเจนการขายจะเกิดขึ้นในกลางปีนี้ ในขณะเดียวกัน ปตท.ยังเจรจาร่วมทุนในธุรกิจใหม่อีกหลายดีล เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย สร้างรายได้จากธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5 ในปีนี้ เป็นร้อยละ 30 ในปี 2573
ทั้งนี้ กลุ่ม ปตท.จัดทำแผนงานและงบลงทุน 5 ปี (พ.ศ.2565-2569) รวมกว่า 9.4 แสนล้านบาท และตั้งงบในอนาคต (PROVISINAL) 7.47 แสนล้านบาท เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมโครงการลงทุนที่วางแผนจะเจรจาให้จบลงในอนาคต และในส่วนงบ 5 ปีที่ ปตท. และบริษัทที่ถือหุ้น 100%ลงทุน 102,165 ล้านบาท และตั้งงบ PROVISINAL 238,000 ล้านบาท มุ่งเน้นการลงทุนพลังงานอนาคต ธุรกิจใหม่ และธุรกิจ Life science ได้แก่ ธุรกิจยา อาหารเสริม อุปกรณ์และการวินิจฉัยทางการแพทย์
ส่วนธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ทางกลุ่ม ปตท.ได้ติดตามสถานการณ์ ศึกษาเตรียมพร้อม ยังไม่ได้ลงทุน แต่เตรียมไว้หากในอนาคตโครงการทางการเงิน การออกหุ้นกู้ สามารถทำได้ผ่านระบบสินทรัพย์ดิจิทัล ทาง ปตท.ก็จะได้ดำเนินการ
“กลุ่ม ปตท. มุ่งมั่นยกขีดความสามารถในการแข่งขันธุรกิจปัจจุบัน และมองหาโอกาสในธุรกิจใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ เพื่อผลตอบแทนที่ดีกลับคืนสู่ประเทศ ฟื้นคืนลมหายใจเศรษฐกิจ ตลอดจนให้การสนับสนุนภาครัฐช่วยลดต้นทุนทางพลังงานให้ประชาชน รวมถึงดำเนินกิจการเพื่อสังคมต่อเนื่อง และสานต่อโครงการลมหายใจเดียวกัน สนับสนุนระบบสาธารณสุขไทย ช่วงสถานการณ์โควิด-19 ร่วมจัดตั้งหน่วยวัคซีนเคลื่อนที่เชิงรุก จนถึงหน่วยคัดกรองโควิด-19 และโรงพยาบาลสนามครบวงจร ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 เพื่อเป็นอีกหนึ่งพลังร่วมขับเคลื่อนประเทศในทุกมิติ ให้คนไทยฝ่าวิกฤตนี้ไปได้ด้วยกัน” นายอรรถพล กล่าว. – สำนักข่าวไทย