นักวิชาการเสนอรัฐบาลลดภาษีน้ำมัน 2 บาทต่อลิตร

กรุงเทพฯ 4 ก.พ. – นักวิชาการเสนอรัฐบาลลดภาษีน้ำมัน 2 บาทต่อลิตร และควรปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน-ก๊าซหุงต้มให้เหมาะสม ชี้กองทุนน้ำมันฯ ไม่ควรรับภาระอุดหนุนราคาสูงเกินไป 


นายพรายพล คุ้มทรัพย์ นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า จากวิกฤติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งแบกรับภาระอุดหนุนราคาพลังงานทั้งดีเซลและก๊าซหุงต้ม ประเมินว่าหากราคาน้ำมันโลกยังแพงต่อเนื่อง และหากวิกฤติความขัดแย้งไม่ว่าจะเป็นที่ตะวันออกกลาง ปัญหา ยูเครน-รัสเซียบานปลาย ก็อาจะทำให้เห็นราคาน้ำมันดิบแตะ 100 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

ดังนั้น เงินกองทุนฯ ซึ่งในขณะนี้ติดลบกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท ก็จะไม่สามารถแบกภาระได้อีก  ดังนั้น แนวทางที่เหมาะสมคือ รัฐบาลต้องควรลดภาษีน้ำมันสรรพสามิตทั้งดีเซลและกลุ่มเบนซิน ประมาณ 2 บาท/ลิตร จากอัตราปัจจุบันที่จัดเก็บเกือบ 6 บาทต่อลิตร หรือพิจารณาปรับเพิ่มเพดานดูแลดีเซลให้สูงเกินกว่า 30 บาท/ลิตร และเห็นด้วยกับกระทรวงพลังงานที่ต้องลดสัดส่วนผสมไบโอดีเซล (บี 100 ) ในดีเซลจากบี 7 หลือบี 5 ซึ่งจากราคาผลปาล์มที่สูงมาก ก็เชื่อว่าเกษตรกรจะเข้าใจภาวะลดค่าครองชีพของคนส่วนใหญ่ในประเทศ


“ จากภาวะปัญหาเสถียรภาพของรัฐบาลในขณะนี้ คาดว่าไม่น่าจะปรับเพิ่มเพดานดูแลดีเซลเกิน 30 บาท ดังนั้นวิธีการที่เหมาะสม คือ การลดภาษีน้ำมันลงมา โดยควรลดทั้งกลุ่มเบนซินและดีเซลเป็นการชั่วคราว 2 บาท/ลิตร เพื่อช่วยลดค่าครองชีพของประชาชน ” นายพรายพล กล่าว 

น.ส.รสนา โตสิตระกูล อนุกรรมการ บริการสาธารณะ,สิ่งแวดล้อม,พลังงาน สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยที่จะใช้เงินกองทุนฯน้ำมันมาดูแลราคาดีเซล เพราะสุดท้ายแล้วประชาชนก็ต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนฯพร้อมดอกเบี้ย รัฐบาลควรจะลดภาษีน้ำมัน โดยในส่วนของดีเซลปัจจุบันจัดเก็บ 5.99 บาท/ลิตร แต่น้ำมันเครื่องบิน ถูกลดภาษีเหลือ 20 สตางค์/ลิตร รัฐบาลอ้างช่วยเหลือผู้ประกอบการสายการบินจากผลกระทบโควิด-19 นอกจากนี้ ปัจจุบันผู้ใช้น้ำมันเบนซินกลับต้องจ่ายเงินดูแลดีเซลผ่านค่าการตลาดที่สูงขึ้น จึงถือว่าไม่เป็นธรรม

นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานควรปรับโครงสร้างราคาน้ำมันและก๊าซหุงต้มใหม่ ให้เหมาะสม ลดภาระกองทุนน้ำมันฯ เช่น ก๊าซหุงต้มไม่ควรอิงราคาตลาดตะวันออกกลาง หรือ ซีพี ทำให้ต้นทุนสูงเกินไป  ในขณะที่ราคาน้ำมันควรทบทวนเรื่องค่าดำเนินการ ค่าประกัน ค่าขนส่งที่เปรียบเทียบกับสิงคโปร์ 


“เข้าใจว่ากระทรวงการคลังไม่อยากลดภาษีน้ำมัน เพราะภาษีน้ำมันสร้างรายได้ราว 2แสนล้านบาทต่อปี แต่รัฐกลับนำเงินไปช่วยเรื่องลดค่าใช้จ่าย”คนละครึ่ง” ซึ่งช่วยเหลือคนได้น้อยกว่า การลดภาษีน้ำมันที่คนทั้งประเทศได้ประโยชน์ เมื่อลดภาษีเครื่องบินเหลือ 20 สต./ลิตร แล้วทำไมภาษีดีเซลจะลดลงให้เท่ากันไม่ได้” น.ส.รสนา กล่าว

ด้านนายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน หรือ สนพ. กล่วาว่ากระทรวงพลังงาน ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด โดยก็หวังว่า ปํญหาความตรึงเครียดทั้งในตะวันออกกลาง  รวมถึงปัญหายูเครนและรัสเซียจะไม่บานปลาย หากยุติโดยเร็วและเมื่อสิ้นฤดูหนาว เมื่อสิ้นเดือนมีนาคม ความต้องการน้ำมันโลกเพื่อทำความอบอุ่นจะลดลง และราคาพลังงานก็น่าจะปรับลดลง

ทั้งนี้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศนโยบายสำคัญ ตรึงราคาดีเซลและก๊าซหุงต้มจนถึงสิ้นเดือน มีนาคม 65 โดยตรึงราคาก๊าซหุงต้ม 318 บาท/ถัง ขนาด 15 กก. หลังจากตรึงมาแล้วประมาณ 2 ปี เพื่อช่วยลดผลกระทบประชาชนจากโควิด-19  โดยใช้กองทุนน้ำมันอุดหนุน 14.86 บาท/กก. และตรึงดีเซล 30 บาทต่อลิตร โดยใช้กองทุนน้ำมันอุดหนุน 3.79 บาทต่อลิตร และผู้ค้าก็ต้องช่วยดูแลด้วยค่าการตลาดที่ต่ำกว่าควรจะเป็นเหลือเพียง 60 สต.ต่อลิตร จากอัตราปกติแล้ว ไม่ควรต่ำกว่า 1.80 บาท/ลิตร  

สำหรับปัจจัยที่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ดูเฉพาะดีเซล ก็มาจาก .ราคาน้ำมันตลาดโลกที่พุ่งขึ้น โดยราคาน้ำมันดีเซลตลาดสิงคโปร์ที่ไทยใช้อ้างอิง ราคาขยับขึ้นไปราว 100 ดอลลาร์/บาร์เรลแล้ว เงินบาทที่อ่านค่าที่อยู่ราวกว่า 33  บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก็ทำให้ราคาเนื้อน้ำมันดีเซลหน้าโรงกลั่นฯขยับไปอยู่ที่กว่า 21 บาทต่อลิตร  ในขณะที่ราคาปาล์มขยับสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ผลปาล์มดิบอยู่ที่ราว 11-12 บาท/กก. และส่งผลให้ราคาไบโอดีเซล บี 100 อยู่ที่ 57.27 บาทต่อลิตร ก็มีผลทำให้เป็นต้นทุนในดีเซลบี 7 อยู่ที่ราว 3.20 บาทต่อลิตร จึงเป็นที่มาที่ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติลดส่วนผสมจากบี 7 เป็นบี 5 เริ่ม 5 ก.พ.นี้ จนถึง สิ้นเดือนมีนาคม ซึ่งเมื่อรวมกับอัตราภาษีที่เกี่ยวข้องแล้วก็จะช่วยลดต้นทุนราคาน้ำมันได้ราว 50-60 สตางค์ต่อลิตร โดยจะมีการรายงานเพื่อทราบต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายน้ำมันปาล์มแห่งชาติ (กนป.) ที่มีพล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในวันที่ 4 มี.ค. ท่ามกลาง เสียงคัดค้านจากชาวสวนปาล์ม      

ในส่วนของการตรึงราคาทั้งดีเซลและก๊าซหุงต้ม ในขณะนี้ใช้กองทุนน้ำมันฯเข้ามาดูแลซึ่ง จนถึงสิ้นเดือน ม.ค. 65 เงินกองทุนก็ติดลบไปถึง 14,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่บัญชีติดลบจากการดูแลราคาแอลพีจีมา 2 ปี เกือบ 2.5 หมื่นล้านบาท ประเมินกันว่า จากการอุดหนุนที่สูงขึ้น เงินกองทุนจะไหลออกประมาณกว่า 8 พันล้านบาทต่อเดือน ที่มาของเงินกองทุนก็มาจากการจัดเก็บจากผู้ใช้น้ำมัน ซึ่งล่าสุด ครม.อนุมัติกู้เสริมสภาพคล่อง 2 หมื่นล้านบาทและสามารถกู้เพิ่มได้อีก 1 หมื่นล้านบาท  นับว่าเป็นวิกฤติของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอีกระลอก โดยในอดีต รัฐบาลหลายสมัยใช้กลไกกองทุนมาอุดหนุนราคาพลังงาน อุดหนุน สูงสุดคือสมัยรัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” ปี 2544 กองทุนน้ำมันติดลบถึง 82,988 ล้านบาท .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 หวัง GBC ได้ข้อสรุปที่ดี ลั่นไม่ถอยกำลังทหาร

กองทัพบก 4 ส.ค. – แม่ทัพภาค 2 ลั่น ไม่ถอยกำลังทหาร หวังถก GBC ได้ข้อสรุปที่ดี แต่ยังคาดหวังอะไรไม่ได้หากสองประเทศยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกันก็จบง่าย พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปชายแดนไทย-กัมพูชา (GBC) ที่ประเทศมาเลเซีย ว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าคุยเรื่องอะไรกัน แต่ก็คาดหวังว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี หาข้อตกลงร่วมกันให้ดีที่สุด ส่วนที่หลายฝ่ายมีความกังวลสถานการณ์ชายแดน หลังวันที่ 7 สิงหาคม จะมีความตึงเครียดนั้น พล.ท.บุญสิน กล่าวว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของผู้นำทั้งสองประเทศ จะเจอกันตรงจุดไหน หากยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกัน ก็จบง่าย ซึ่งตอนนี้ยังคาดเดาอะไรไม่ได้ ว่าผลจะออกมาอย่างไร เมื่อถามว่า ประเด็นเรื่องการถอนกำลัง พล.ท.บุญสิน ยืนยันว่า “กองทัพไม่ถอย เพราะเรารุกในเขตพื้นที่อธิปไตยของเรา” สำหรับการดูแลชายแดนไทย-กัมพูชา กองทัพทั้งสองประเทศได้ปฏิบัติตามข้อตกลงการหยุดยิง ที่สองรัฐบาลได้พูดคุยกันไว้เพื่อความสงบสุขบริเวณชายแดน ซึ่งเราพยายามทำให้ดีที่สุด แต่ยอมรับว่า มีปัญหาเรื่องโดรนไม่ทราบฝ่าย ซึ่งกองทัพภาคที่ 2 ได้บูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วน เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ดีขึ้น รวมถึงการติดตามกลุ่มบุคคลที่ทำตัวเป็นสายลับ และไส้ศึก […]

สำนักโฆษก กห. พาย้อนเหตุการณ์ยุคเขมรแดงปี 1979-1980

4 ส.ค.- เตือนความจำเขมร! สำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม โพสต์ย้อนเหตุการณ์ไทยช่วยเขมร ยุคเขมรแดง ปี 1979-1980 เปิดประตูรับคนเขมรเป็นที่พึ่งสุดท้าย-เปิดค่ายพักพิงแบบไม่ลังเล วันนี้(4 ส.ค.2568) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจสำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม ได้เผยแพร่ข้อมูลการช่วยเหลือของฝ่ายไทยที่มีต่อชาวกัมพูชาในยุคเขมรแดง โดยข้อความระบุว่า จากคนที่หนีตายสู่คนที่หันปากกระบอกปืนกลับมา” เมื่อ ‘เขมร’ ลืมทุกอย่างที่ไทยเคยมอบให้ ปี 𝟏𝟗𝟕𝟗… ชาวกัมพูชานับแสน นับล้าน วิ่งหนีตายจากนรกบนดินที่ชื่อว่า “เขมรแดง” ข้ามพรมแดนมายังไทย ในสภาพหมดเรี่ยวแรง หิวโหย และเกือบสิ้นลมหายใจ คนไทยเปิดประตูให้เขาพักพิง ตอนนั้นประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียง “เพื่อนบ้าน” แต่กลายเป็น “ที่พึ่งสุดท้าย” เราส่งอาหาร เราเปิดค่ายพักพิง เราช่วยเหลือทั้งในนามรัฐบาล องค์กรพัฒนาเอกชน และแม้แต่ชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ยอมแบ่งข้าวเพียงคำเดียวให้ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชา การอพยพที่ไม่มีแผนที่เริ่มตั้งแต่ต้นปี 𝟏𝟗𝟕𝟗 จนถึงต้นยุค 𝟏𝟗𝟖𝟎𝐬 มีชาวกัมพูชาจำนวนมหาศาล บางแหล่งบอกว่ารวมกันถึง 𝟔 แสนถึง 𝟖 แสนคน อพยพอย่างไร้ทิศทางบางคนเดินเท้าเป็นร้อยกิโลเมตรจากกลางประเทศกัมพูชา หลายคนไร้เอกสาร ไม่มีอาหาร ไม่มีเป้าหมาย […]

กต. จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศ

ก.ต่างประเทศ 4 ส.ค.-กต. จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา คาดแจงข้อมูลที่บิดเบือน หลังกัมพูชาปล่อยเฟคนิวส์ต่อเนื่อง ด้าน “มาริษ” ย้ำไทยไม่ได้เริ่มก่อน ยึดแก้ปัญหาผ่านกลไกทวิภาคี เรียกร้องกัมพูชายึดหลักสันติวิธี-จริงใจ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ร่วมกับ นายปิยภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก และ นางสาวพินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ณ ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ โดยคาดว่าจะเป็นการชี้แจงข้อเท็จจริงภายหลังจากที่ฝ่ายกัมพูชามีการให้ข้อมูลที่บิดเบือนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ก่อนการบรรยาย นายมาริษ กล่าวเปิดโดยขอบคุณผู้ที่เข้าร่วมรับฟังการบรรยายในวันนี้ พร้อมชี้แจงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และท่าทีของไทยต่อกรณีดังกล่าว โดยตนตั้งใจจะแบ่งการบรรยายเป็น 2 ประเด็นหลัก คือ 1. การเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งไทยขอประท้วงต่อฝ่ายกัมพูชากรณีที่ละเมิดกฎหมายมนุษยชนและใช้ความรุนแรง โดยมีเป้าหมายแบบไม่เลือกเป้าและโจมตีไปที่พลเรือน รวมถึงการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งขัดต่อหลักการของอนุสัญญาออตโตวา ในขณะที่ไทยปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด จึงหวังเป็นอย่างยิ่งให้กัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างจริงใจด้วยเช่นกัน ภายใต้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ส่วนประเด็นที่ 2 คือการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ระหว่างวันที่ 4-7 สิงหาคม […]

EOD ทำลายวัตถุระเบิด ใกล้ปั๊มน้ำมันบ้านผือ จ.ศรีสะเกษ 

ศรีสะเกษ 4 ส.ค. – เจ้าหน้าที่อีโอดีเก็บกู้จรวด BM 21 ที่กัมพูชายิงเข้ามาตกและฝังอยู่ในพื้นถนนกันทรลักษ์อีกจุด ใกล้กับปั๊มน้ำมันที่ถูกกัมพูชายิงใส่วันที่ 24 ก.ค. เช่นเดียวกัน บรรยากาศตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่ชุดเก็บวัตถุระเบิดหรือ EOD จากตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ ตำรวจ ตชด.ที่22 อุบลราชธานี และเจ้าหน้าที่จากศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ ศูนย์บัญชาการทางทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย หรือ TMAC เข้าเตรียมความพร้อมเพื่อเก็บกู้ทำลายวัตถุระเบิดแรงสูง ประเภท BM21 ที่กัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่ แล้วตกลงไปฝังอยู่ในถนน กันทรลักษ์-เขาพระวิหาร ในพื้นที่ อำเภอกันทรลักษ์ เป็นจรวด BM 21 ที่ถูกยิงมาในวันที่ 24 กรกฎาคม วันเดียวกับที่ยิงใส่ร้านสะดวกซื้อภายในปั๊ม ปตท. บ้านผือ ระเบิดจุดนี้ อยู่ห่างจากปั๊ม ปตท. บ้านผือ ประเมาณ 500 เมตร และห่างจากจุดที่มีการเก็บกู้ จรวดบีเอ็ม 21 บนถนนกันทรลักษ์ลูกแรก ในวันที่ 2 สิงหาคม […]