กลุ่มทิสโก้ ตั้งเป้าชูธีม “Hybrid Advisory” ยกระดับบริการลูกค้า

กรุงเทพฯ 17 ม.ค.- กลุ่มทิสโก้ เปิดกลยุทธ์ธุรกิจ ปี 2565 เน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ  ชูธีมบริการแบบ “Hybrid Advisory” ตอบโจทย์ลูกค้า มุ่งเป็นที่ปรึกษาที่ดี ควบคู่กับผลิตภัณฑ์ที่สร้างคุณค่า  เผยผลประกอบการปี 2564 กำไรสุทธิ 6,781 ล้านบาท เติบโต 11.8%  ระดับเงินสำรอง Coverage ratio สูงถึง 236.7%  พร้อมเงินกองทุนสุดแข็งแกร่ง BIS ratio 25.2%


นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ เปิดเผยว่า ในปี 2565 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประเมินว่าการขยายตัวจะอยู่ที่ระดับ 3.3% ซึ่งมีแรงสนับสนุนจากอุปสงค์ในประเทศและการส่งออกที่ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของ COVID – 19 ดังนั้น กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของกลุ่มทิสโก้ในปีนี้ จึงให้ความสำคัญกับ “การเติบโตอย่างมีคุณภาพ” ภายใต้รูปแบบการให้บริการที่เน้นตอบโจทย์ลูกค้าในธีม “Hybrid Advisory” ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการให้ “คำแนะนำที่ดี” ควบคู่กับการมี “ผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม” ให้แก่ลูกค้า รวมถึงการนำ “เทคโนโลยี” เข้ามาช่วยยกระดับบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“เศรษฐกิจไทยเข้าสู่โหมดของการทยอยฟื้นตัวอย่างช้าๆ โดยยังมีความไม่แน่นอนจากการแพร่ระบาดของ COVID – 19 สายพันธุ์ Omicron และโอกาสการกลายพันธุ์ที่ยังไม่จบ ซึ่งเป็นความท้าทายที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ทำให้การขับเคลื่อนธุรกิจของกลุ่มทิสโก้ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรก จึงเน้นการเติบโตอย่างระมัดระวัง จากนั้นหากสถานการณ์การแพร่ระบาดเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น จะเร่งระดับของการเติบโตขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ขณะที่การให้บริการจะเห็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาผสมผสาน กับจุดแข็งของความเชี่ยวชาญในการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินที่ดี (Top Advisory) ที่กลุ่มทิสโก้มุ่งเน้นมาโดยตลอดมากขึ้น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้า พร้อมแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ” นายศักดิ์ชัยกล่าว


สำหรับยุทธศาสร์การเติบโตในแต่ละกลุ่มธุรกิจของทิสโก้กำหนดเป้าหมายไว้ ดังนี้ กลุ่มธุรกิจรายย่อย จะมุ่งสนับสนุนเงินให้สินเชื่อแก่ลูกค้าเช่าซื้อ จำนำทะเบียนรถ และสินเชื่อเพื่อการบริโภค ผ่านช่องทางสาขาธนาคารทิสโก้ การขยายสาขา “สมหวัง เงินสั่งได้” เพิ่มเป็น 400 แห่ง โดยกระจายไปตามภูมิภาคต่างๆ อย่างทั่วถึง เพื่อให้คนไทยมีโอกาสเข้าถึงบริการทางการเงินและความรู้ทางการเงินได้มากขึ้น พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ และแสวงหาโอกาสการเติบโตในกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เช่น กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) กลุ่มรถบรรทุก เป็นต้น รวมถึงเพิ่มช่องทางบริการผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้น ธุรกิจนายหน้าประกันภัย จะให้ความสำคัญกับการทำการตลาดแบบคู่ขนานทั้งการสานต่อและขยายความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำ รวมทั้งพันธมิตรในกลุ่มธุรกิจอื่น เพื่อสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ควบคู่กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และช่องทางการเข้าถึงลูกค้าแบบ Customer Touchpoint  และเพื่อส่งมอบบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า 

กลุ่มธุรกิจบรรษัท จะยังคงใช้จุดแข็งในการบริหารงานแบบรวมศูนย์ (Centralized) ที่ครอบคลุมผลิตภัณฑ์สินเชื่อและบริการวาณิชธนกิจ เพื่อสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างครบวงจรในลักษณะ Total Solution ซึ่งจะช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างรอบด้านและดีที่สุด (Best Solution) 

กลุ่มธุรกิจธนบดีและจัดการกองทุน จะเดินหน้าบริการออกแบบแผนการเงินเฉพาะบุคคล ซึ่งเป็นการวางแผนการเงินในเชิงลึกตามแนวทางการบริหารความมั่งคั่งแบบองค์รวม (Holistic Financial Advisory) ของทิสโก้ และรองรับเทรนด์สังคมอายุยืน (Aging Society) ที่เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย โดยครอบคลุมทั้งการวางแผนการลงทุน การคุ้มครองชีวิตและสุขภาพ และการวางแผนเกษียณ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในแต่ละรายได้อย่างคุ้มค่า นอกจากนี้จะมุ่งขยายฐานลูกค้าในกลุ่ม Mass-affluent มากขึ้น ผ่านบริการลงทุน นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และที่ปรึกษาการลงทุน 


สรุปผลประกอบการในปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 6,781 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% จากปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจจัดการกองทุน กำไรจากเงินลงทุน และค่าใช้จ่ายสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่ลดลง โดยในรายละเอียด รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยขยายตัว 9.7% จากปีก่อน สาเหตุมาจากรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจจัดการกองทุนที่เติบโต 46.2% จากการออกกองทุนใหม่ที่ได้รับการตอบรับที่ดี และการรับรู้ค่าธรรมเนียมตามผลประกอบการของกองทุน รายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8.1% จากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ชะลอตัว 7.8% จากธุรกิจนายหน้าประกันภัย ที่ได้รับผลกระทบในช่วงเศรษฐกิจซบเซาจากการระบาดของโควิด-19 ประกอบกับค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับการให้สินเชื่ออ่อนตัวลง ส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 4.9% ตามทิศทางการปล่อยสินเชื่อที่ชะลอตัว 

นอกจากนี้ บริษัทมีผลกำไรจากมูลค่าเงินลงทุนที่ตีมูลค่ายุติธรรมผ่านงบกำไรขาดทุน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ในขณะเดียวกัน ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss – ECL) ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 1.0% ของยอดสินเชื่อเฉลี่ย จากการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับสถานการณ์การระบาดที่เริ่มคลี่คลาย แม้ว่าจะมีการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ในช่วงสิ้นปี ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) อยู่ที่ 16.8%

สำหรับเงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 มีจำนวน 202,950 ล้านบาท ลดลง 9.7% จากสิ้นปีก่อนหน้า เนื่องมาจากบริษัทดำเนินนโยบายการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวังในภาวะที่เศรษฐกิจยังคงมีความไม่แน่นอนสูงจากการระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงบริหารจัดการสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (NPLs) ลดลงจากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 2.4% ซึ่งอยู่ในระดับที่ดีกว่าความคาดหมาย ทั้งนี้ บริษัทยังคงมีระดับเงินสำรองหนี้สูญต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Loan Loss Coverage Ratio) อยู่ในระดับสูงที่ 236.7%

ทั้งนี้ธนาคารทิสโก้ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 25.2% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 11.0% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 20.2% และ 5.0% ตามลำดับ.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]