กลุ่มทิสโก้ เผยไตรมาส 2/68 กำไรสุทธิ 1,644 ล้านบาท ลดลง 6.2%

15 ก.ค. – กลุ่มทิสโก้ เผยไตรมาส 2/ 68 กำไรสุทธิ 1,644 ล้านบาท ลดลง 6.2% ส่งผลงวดครึ่งแรกปี 2568 กำไรสุทธิ 3,287 ล้านบาท ลดลง 5.7% ผลจากภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ความเสี่ยงสูงขึ้น พร้อมช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ต่อเนื่อง เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจช่วงครึ่งปีหลังด้วยความรอบคอบ ยึดแนวทางธุรกิจยั่งยืน


นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ (Mr. Sakchai Peechapat, Group Chief Executive, TISCO Financial Group Public Company Limited) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน แม้จะได้รับแรงสนับสนุนจากการส่งออกที่เร่งตัวขึ้นก่อนมาตรการภาษีศุลกากรสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ แต่อุปสงค์ภายในประเทศกลับอ่อนแรงลงอย่างชัดเจน โดยมีสาเหตุหลักจากการชะลอการลงทุนของภาคเอกชน และความระมัดระวังในการใช้จ่ายของครัวเรือน อันเนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตและปัญหาหนี้สิน ขณะเดียวกันภาคการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวมยังไม่เต็มประสิทธิภาพ

สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรก กลุ่มทิสโก้มีกำไรสุทธิ 3,287 ล้านบาท ลดลง 5.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุจากรายได้ธุรกิจหลักปรับตัวลดลง โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงสืบเนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย และการลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ขณะที่ธุรกิจสินเชื่อยังคงขยายตัวที่ 1.4% จากปีก่อน จากกลุ่มสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่เป็นหลัก ส่วนสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใหม่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวในกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคล จากการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในกลุ่มแบรนด์รถยนต์เป้าหมาย พร้อมคัดสรรการเติบโตไปในกลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพดี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้สามารถเพิ่มอัตราการเข้าถึง (Penetration Rate) ในกลุ่มรถยนต์ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมียอดสินเชื่อปล่อยใหม่เติบโตขึ้นถึง 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน


อย่างไรก็ดี รายได้ค่าธรรมเนียมโดยรวมได้รับผลกระทบจากภาวะตลาดทุนที่ยังคงผันผวน แต่การฟื้นตัวของสินเชื่อเช่าซื้อช่วยหนุนให้รายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจนายหน้าประกันภัยกลับมาเติบโตอีกครั้ง อีกทั้ง ธุรกิจจัดการกองทุน บลจ.ทิสโก้ จำกัด ยังคงสร้างผลงานโดดเด่น โดยสามารถขยายฐานลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่เข้ามาเป็นลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในคุณภาพการให้บริการ และตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน กลุ่มทิสโก้ยังคงดำเนินนโยบายควบคุมจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยชะลอการขยายสาขาใหม่และมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพของสาขาเดิมให้ดียิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ยังเดินหน้าตั้งสำรองตามแผน เพื่อรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง

ท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวในครึ่งปีหลัง และมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค จากแรงกดดันด้านการส่งออก การท่องเที่ยว และความไม่แน่นอนทางการเมือง ขณะที่กำลังซื้อภายในประเทศยังคงอ่อนแอจากรายได้ที่ไม่เพิ่มขึ้นและภาระหนี้ครัวเรือน กลุ่มทิสโก้ยังคงยึดมั่นในยุทธศาสตร์ “ธุรกิจยั่งยืน” (Sustainable Focus) โดยให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ พร้อมปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง ควบคู่กับการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี โดยมีลูกหนี้ที่เข้าเกณฑ์ได้รับความช่วยเหลือแล้วกว่า 40% พร้อมขยายความช่วยเหลือต่อเนื่องในเฟสที่สอง ขณะเดียวกันจะเดินหน้าบริการที่ปรึกษาทางการเงินแบบองค์รวม (Holistic Advisory) ครอบคลุมทั้งด้านการลงทุนและการวางแผนสุขภาพ ผ่านผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เพื่อส่งเสริมความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนของลูกค้าในทุกช่วงชีวิต

สรุปผลประกอบการสำหรับงวดไตรมาส 2 และครึ่งปีแรกของปี 2568


ผลการดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้สำหรับไตรมาส 2 ปี 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 1,644 ล้านบาท ลดลง 6.2% เทียบกับไตรมาส 2 ปี 2567 จากรายได้รวมที่อ่อนตัวลง 2.9% เนื่องมาจากการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้สอดคล้องกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงการลดภาระดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้ในโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” อีกทั้ง รายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจที่เกี่ยวกับตลาดทุนชะลอตัวลง ตามปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ลดลงในภาวะตลาดทุนที่ไม่เอื้ออำนวย นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss – ECL) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.0% ของสินเชื่อเฉลี่ย ตามแผนการปรับสำรองกลับเข้าสู่ระดับปกติ พร้อมรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง ในขณะเดียวกัน บริษัทยังคงดำเนินการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปรับลดลง 7.0%

อย่างไรก็ดี ผลกำไรงวดไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ในระดับเดียวกันกับไตรมาส 1 ปี 2568 จากรายได้รวมที่เติบโต 2.4% ชดเชยกับค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ที่เพิ่มสูงขึ้น รายได้ดอกเบี้ยสุทธิทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัว โดยเฉพาะธุรกิจธนาคารพาณิชย์และนายหน้าประกันภัย รวมถึงผลกำไรจากพอร์ตเงินลงทุน บริษัทยังคงควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงต่อเนื่อง 2.3% ส่งผลให้กำไรก่อนการตั้งสำรองเติบโต

สำหรับกำไรสุทธิของบริษัทงวดครึ่งปีแรกของปี 2568 มีจำนวน 3,287 ล้านบาท ลดลง 5.7% เมื่อเทียบกับงวดครึ่งปีแรกของปี 2567 เป็นผลมาจากรายได้ที่ชะลอตัวลง 1.7% ทั้งรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงจากการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และการช่วยเหลือลูกหนี้ในโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” รวมทั้ง รายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจหลักทรัพย์ยังคงอ่อนแอ ทั้งค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ ค่าธรรมเนียมธุรกิจวาณิชธนกิจ และกำไรจากพอร์ตเงินลงทุน อย่างไรก็ดี รายได้ค่าธรรมเนียมธนาคารพาณิชย์ฟื้นตัวจากธุรกิจนายหน้าประกันภัยและรายได้ที่เกี่ยวกับสินเชื่ออื่นๆ รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจจัดการกองทุนขยายตัว จากการเติบโตของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนรวม ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 4.0% จากการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ค่าใช้จ่ายสำรองผลขาดทุนด้านเครดิต (ECL) อยู่ที่ 0.8% ของสินเชื่อเฉลี่ย ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ที่ 15.5%

เงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 มีจำนวน 235,512 ล้านบาท เติบโต 1.4% จากสิ้นปี 2567 สาเหตุหลักมาจากสินเชื่อบริษัทที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สินเชื่อ SME อ่อนตัวลงจากสิ้นปี 2567 จากการเข้มงวดในการติดตาม การวางแผนสต็อกรถยนต์อย่างใกล้ชิด อีกทั้ง บริษัทยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียน ท่ามกลางสภาวะที่หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง สำหรับสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ทรงตัวที่ 2.4% ของสินเชื่อรวม ตามกลยุทธ์การขยายสินเชื่ออย่างระมัดระวัง พร้อมด้วยการช่วยเหลือลูกหนี้ตามแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ระดับค่าเผื่อสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Coverage Ratio) อยู่ที่ 154.8%

ธนาคารทิสโก้ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 20.6% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 11.0% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 18.6% และ 2.0% ตามลำดับ.-516-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดดัง จ.เลย

มหาสารคาม 6 ส.ค. – มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดในพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย บาดเจ็บ หลังหนีไปกบดานที่บ้านเกิด จ.มหาสารคาม ตำรวจตั้งข้อหาพยายามฆ่า จากกรณี พระอธิการมานพพร อายุ 47 ปี เจ้าอาวาสวัดโพนสว่าง และเจ้าคณะตำบลเขาแก้ว ขับรถยนต์หลบหนีไป หลังใช้ปืนจ่อยิงพระมหาโยธิน เจ้าอาวาสวัดป่าพัฒนาราม และเจ้าคณะตำบลจอมศรี จนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่พระครูถาวรเทวธรรม เจ้าคณะตำบลธาตุ และเจ้าอาวาสวัดสวนธรรมเทวราช เจ้าคณะตำบลธาตุ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย หลบหนีได้ทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เกิดเหตุในวัดพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา ต่อมาศาลจังหวัดเลยอนุมัติหมายจับในข้อหา “พยายามฆ่าผู้อื่น และมีอาวุธปืน กระสุนปืน พกพาโดยไม่มีเหตุอันควร” วันนี้ ที่ห้องสืบสวน สภ.เมืองมหาสารคาม พระอธิการมานพพร หรือนายมานพพร ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงพระ 2 รูป เข้ามอบตัว เนื่องจากถูกตำรวจกดดันอย่างหนัก เบื้องต้นให้การว่า วันเกิดเหตุมีการปรึกษากัน แต่ไม่ได้ทะเลาะ สาเหตุมาจากตนเองโดนกลั่นแกล้งจากทางพระทั้ง […]

แรงงานกัมพูชาแห่กลับประเทศ รัฐบาลขู่ยึดที่ดิน-ถอดสัญชาติ

6 ส.ค. – รัฐบาลกัมพูชาขู่ยึดที่ดินและถอดสัญชาติแรงงานที่ดื้ออยู่ไทย ส่งผลวันนี้ (6 ส.ค.) ชาวกัมพูชาแห่เดินทางกลับประเทศ ทำจุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี รถติดยาว 8 กิโลเมตร ที่จุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ตั้งแต่ช่วง 06.00 น. รถติดยาวเหยียดร่วม 8 กิโลเมตร ทั้งรถเช่าเหมา รถตู้ และรถรับจ้างที่ขนแรงงานชาวกัมพูชากลับประเทศ ส่วนภายในบริเวณตลาดบ้านแหลม ช่วงเวลา 07.00 น.ที่ผ่านมา ยังพบชาวกัมพูชาร่วมกว่า 20,000 คน ขนสัมภาระ ข้าวของ มารอเต็มหน้าด่าน มากกว่า 2-3 วันที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นเพราะมีกระแสข่าวรัฐบาลกัมพูชาขู่จะออกมาตรการเอาจริงกับแรงงานกัมพูชาที่ยังดื้อไม่ยอมกลับประเทศก่อนวันที่ 10 สิงหาคมนี้ จะยึดที่ดินทำกินและถอดสัญชาติ คาดว่าจุดนี้จุดเดียวคนจะกลับกัมพูชาเฉียดครึ่งแสนคน แรงงานกัมพูชากลับประเทศ นายจ้างกลัวไปไม่กลับที่ตลาดสดแห่งหนึ่งใน อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี พบว่ายังมีแรงงานกัมพูชาก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ แต่มีสีหน้าเคร่งเครียดจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แรงงานเล่าว่าไม่อยากกลับกัมพูชา กลับไปก็ไม่มีงานทำ ทางครอบครัวที่กัมพูชาก็โทรมาห่วงว่าคนไทยจะทำร้าย […]

เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า ตรึงกำลังเข้ม

6 ส.ค.- เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า พร้อมตรึงกำลังเข้ม ป้องกันทหารกัมพูชาตัดรั้วลวดหนาม รอบ 2 เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจพบกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาดำเนินการตัดลวดหีบเพลง ที่ทางฝ่ายไทยได้วางไว้เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย ณ บริเวณพื้นที่ตลาดช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) โดยทางฝ่ายไทยได้ดำเนินการแจ้งให้ยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมให้ถอยออกจากพื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตาม และได้ออกจากบริเวณดังกล่าวในทันที ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เข้าดำเนินการกางลวดหีบเพลงให้เข้าสู่สภาพเดิม ปัจจุบันยังคงมีการตรึงกำลังที่ฐานปฏิบัติการในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย-สำนักข่าวไทย

เอาผิด 2 ข้อหา อดีตทหาร BHQ-เรียกภรรยาให้ข้อมูล

บุรีรัมย์ 6 ส.ค. – ผู้การบุรีรัมย์ เค้นสอบอดีตทหารองครักษ์พิทักษ์ฮุนเซน ยืนยันไม่ได้เป็นสายลับ หลังถูกจับพร้อมเครื่องแบบทหาร-อาวุธปืน เบื้องต้นตั้ง 2 ข้อหา พร้อมเรียกภรรยามาให้ข้อมูล จากกรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จ.บุรีรัมย์ จับกุมนายวิน ดา ทหารเขมรชุด BHQ องครักษ์พิทักษ์ฮุน เซน ได้ในบ้านพักหลังหนึ่งใน อ.กระสัง ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาชาวไทย พร้อมปืนลูกซองไทยประดิษฐ์และเครื่องกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 3 นัด กระสุนปืนขนาด.38 อีก 3 นัด และเครื่องแบบทหารที่มีตราสัญลักษณ์ BHQ หลายรายการ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทหารกัมพูชา หน่วยรบพิเศษ BHQ ซึ่งเป็นองครักษ์พิทักษ์สมเด็จฮุน เซน จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจภูธรลำดวน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ เพราะคาดว่าน่าจะเป็นสายลับเข้ามาฝังตัว ส่งความเคลื่อนไหวทางการทหารไทยให้ฝ่ายกัมพูชา รับเป็นทหารBHQ จริง แต่ไม่ใช่สายลับพล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ลงพื้นที่สอบปากคำนายวิน ดา ด้วยตัวเอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง […]