กลุ่มทิสโก้ เผยไตรมาส 2/68 กำไรสุทธิ 1,644 ล้านบาท ลดลง 6.2%

15 ก.ค. – กลุ่มทิสโก้ เผยไตรมาส 2/ 68 กำไรสุทธิ 1,644 ล้านบาท ลดลง 6.2% ส่งผลงวดครึ่งแรกปี 2568 กำไรสุทธิ 3,287 ล้านบาท ลดลง 5.7% ผลจากภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ความเสี่ยงสูงขึ้น พร้อมช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ต่อเนื่อง เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจช่วงครึ่งปีหลังด้วยความรอบคอบ ยึดแนวทางธุรกิจยั่งยืน


นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ (Mr. Sakchai Peechapat, Group Chief Executive, TISCO Financial Group Public Company Limited) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน แม้จะได้รับแรงสนับสนุนจากการส่งออกที่เร่งตัวขึ้นก่อนมาตรการภาษีศุลกากรสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ แต่อุปสงค์ภายในประเทศกลับอ่อนแรงลงอย่างชัดเจน โดยมีสาเหตุหลักจากการชะลอการลงทุนของภาคเอกชน และความระมัดระวังในการใช้จ่ายของครัวเรือน อันเนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตและปัญหาหนี้สิน ขณะเดียวกันภาคการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวมยังไม่เต็มประสิทธิภาพ

สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรก กลุ่มทิสโก้มีกำไรสุทธิ 3,287 ล้านบาท ลดลง 5.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุจากรายได้ธุรกิจหลักปรับตัวลดลง โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงสืบเนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย และการลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ขณะที่ธุรกิจสินเชื่อยังคงขยายตัวที่ 1.4% จากปีก่อน จากกลุ่มสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่เป็นหลัก ส่วนสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใหม่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวในกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคล จากการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในกลุ่มแบรนด์รถยนต์เป้าหมาย พร้อมคัดสรรการเติบโตไปในกลุ่มลูกค้าที่มีคุณภาพดี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้สามารถเพิ่มอัตราการเข้าถึง (Penetration Rate) ในกลุ่มรถยนต์ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมียอดสินเชื่อปล่อยใหม่เติบโตขึ้นถึง 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน


อย่างไรก็ดี รายได้ค่าธรรมเนียมโดยรวมได้รับผลกระทบจากภาวะตลาดทุนที่ยังคงผันผวน แต่การฟื้นตัวของสินเชื่อเช่าซื้อช่วยหนุนให้รายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจนายหน้าประกันภัยกลับมาเติบโตอีกครั้ง อีกทั้ง ธุรกิจจัดการกองทุน บลจ.ทิสโก้ จำกัด ยังคงสร้างผลงานโดดเด่น โดยสามารถขยายฐานลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่เข้ามาเป็นลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในคุณภาพการให้บริการ และตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน กลุ่มทิสโก้ยังคงดำเนินนโยบายควบคุมจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยชะลอการขยายสาขาใหม่และมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพของสาขาเดิมให้ดียิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ยังเดินหน้าตั้งสำรองตามแผน เพื่อรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง

ท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวในครึ่งปีหลัง และมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค จากแรงกดดันด้านการส่งออก การท่องเที่ยว และความไม่แน่นอนทางการเมือง ขณะที่กำลังซื้อภายในประเทศยังคงอ่อนแอจากรายได้ที่ไม่เพิ่มขึ้นและภาระหนี้ครัวเรือน กลุ่มทิสโก้ยังคงยึดมั่นในยุทธศาสตร์ “ธุรกิจยั่งยืน” (Sustainable Focus) โดยให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ พร้อมปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง ควบคู่กับการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี โดยมีลูกหนี้ที่เข้าเกณฑ์ได้รับความช่วยเหลือแล้วกว่า 40% พร้อมขยายความช่วยเหลือต่อเนื่องในเฟสที่สอง ขณะเดียวกันจะเดินหน้าบริการที่ปรึกษาทางการเงินแบบองค์รวม (Holistic Advisory) ครอบคลุมทั้งด้านการลงทุนและการวางแผนสุขภาพ ผ่านผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เพื่อส่งเสริมความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนของลูกค้าในทุกช่วงชีวิต

สรุปผลประกอบการสำหรับงวดไตรมาส 2 และครึ่งปีแรกของปี 2568


ผลการดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้สำหรับไตรมาส 2 ปี 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 1,644 ล้านบาท ลดลง 6.2% เทียบกับไตรมาส 2 ปี 2567 จากรายได้รวมที่อ่อนตัวลง 2.9% เนื่องมาจากการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้สอดคล้องกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงการลดภาระดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้ในโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” อีกทั้ง รายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจที่เกี่ยวกับตลาดทุนชะลอตัวลง ตามปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ลดลงในภาวะตลาดทุนที่ไม่เอื้ออำนวย นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss – ECL) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.0% ของสินเชื่อเฉลี่ย ตามแผนการปรับสำรองกลับเข้าสู่ระดับปกติ พร้อมรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง ในขณะเดียวกัน บริษัทยังคงดำเนินการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปรับลดลง 7.0%

อย่างไรก็ดี ผลกำไรงวดไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ในระดับเดียวกันกับไตรมาส 1 ปี 2568 จากรายได้รวมที่เติบโต 2.4% ชดเชยกับค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ที่เพิ่มสูงขึ้น รายได้ดอกเบี้ยสุทธิทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัว โดยเฉพาะธุรกิจธนาคารพาณิชย์และนายหน้าประกันภัย รวมถึงผลกำไรจากพอร์ตเงินลงทุน บริษัทยังคงควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงต่อเนื่อง 2.3% ส่งผลให้กำไรก่อนการตั้งสำรองเติบโต

สำหรับกำไรสุทธิของบริษัทงวดครึ่งปีแรกของปี 2568 มีจำนวน 3,287 ล้านบาท ลดลง 5.7% เมื่อเทียบกับงวดครึ่งปีแรกของปี 2567 เป็นผลมาจากรายได้ที่ชะลอตัวลง 1.7% ทั้งรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงจากการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และการช่วยเหลือลูกหนี้ในโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” รวมทั้ง รายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจหลักทรัพย์ยังคงอ่อนแอ ทั้งค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ ค่าธรรมเนียมธุรกิจวาณิชธนกิจ และกำไรจากพอร์ตเงินลงทุน อย่างไรก็ดี รายได้ค่าธรรมเนียมธนาคารพาณิชย์ฟื้นตัวจากธุรกิจนายหน้าประกันภัยและรายได้ที่เกี่ยวกับสินเชื่ออื่นๆ รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจจัดการกองทุนขยายตัว จากการเติบโตของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนรวม ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 4.0% จากการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ค่าใช้จ่ายสำรองผลขาดทุนด้านเครดิต (ECL) อยู่ที่ 0.8% ของสินเชื่อเฉลี่ย ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ที่ 15.5%

เงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 มีจำนวน 235,512 ล้านบาท เติบโต 1.4% จากสิ้นปี 2567 สาเหตุหลักมาจากสินเชื่อบริษัทที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สินเชื่อ SME อ่อนตัวลงจากสิ้นปี 2567 จากการเข้มงวดในการติดตาม การวางแผนสต็อกรถยนต์อย่างใกล้ชิด อีกทั้ง บริษัทยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียน ท่ามกลางสภาวะที่หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง สำหรับสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ทรงตัวที่ 2.4% ของสินเชื่อรวม ตามกลยุทธ์การขยายสินเชื่ออย่างระมัดระวัง พร้อมด้วยการช่วยเหลือลูกหนี้ตามแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ระดับค่าเผื่อสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Coverage Ratio) อยู่ที่ 154.8%

ธนาคารทิสโก้ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 20.6% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 11.0% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 18.6% และ 2.0% ตามลำดับ.-516-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“ภูมิธรรม” แบ่งงาน 2 รมช.มหาดไทย เจ้าตัวคุม “โยธาฯ-ปค.”

กระทรวงมหาดไทย 14 ก.ค. –“ภูมิธรรม” แบ่งงาน 2 รมช.มหาดไทยแล้ว เจ้าตัวคุม “โยธาฯ – ปค.” ฟาก “เดชอิศม์” คุม “ที่ดิน – สถ.” สางปัญหาที่ดิน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย รักษาราชการนายกฯ กล่าวว่า ขณะนี้ตนได้แบ่งงานกับทั้ง 2 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการทำงานของทั้ง 3 คนเราทำงานเป็นทีมเดียวกัน ส่วนหลักเกณฑ์การแบ่งก็กระจายให้ทั่วถึงเพื่อช่วยกันดูแล โดยตนกำกับดูแลกรมโยธาธิการและผังเมือง กรมการปกครอง สำนักปลัดกระทรวงมหาดไทย สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย การประสานงานส่วนราชการในสังกัด กระทรวงมหาดไทยตาม พ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2553 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปาส่วนภูมิภาค และดูหน่วยงานส่วนที่เหลือทั้งหมด โดยทั้งหมดสงวนไว้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณ และบุคคลซึ่งตนเป็นผู้ดูแล นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ได้มอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย กำกับดูแล กรมการพัฒนาชุมชน เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสตรีและการดำเนินการเรื่องผ้าไทย รวมถึงกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย […]

รถพ่วงเบรกแตกลงเขา ชนแหลก 10 คัน เจ็บ 3

นครราชสีมา 13 ก.ค. – รถพ่วงเบรกแตกลงเขามอกลางดง ชนแหลกรวมสิบคัน บาดเจ็บ 3 คน ทำถนนมิตรภาพรถติดยาวหลายกิโลเมตร คนขับรถพ่วงบาดเจ็บ แต่ยังให้การได้ รถพ่วงบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ ชนแหลกนับ 10 คัน บนถนนมิตรภาพ ขาเข้ากรุงเทพมหานคร ช่วงลงเขามอกลางดง กิโลเมตรที่ 37-38 อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ตำรวจ สภ.กลางดง พร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยหลายหน่วยระดม เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ และช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ที่เกิดเหตุพบรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์คันต้นเหตุ ยี่ห้อฮีโน่ สีขาว ทะเบียน กรุงเทพมหานคร ด้านหน้าหัวลากพังยับ นายวิทยา อายุ 34 ปี คนขับ ได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้าย ยังนั่งอยู่บริเวณที่นั่งข้างคนขับ โดยเล่าว่า บรรทุกของมาเต็มตู้คอนเทนเนอร์ ช่วงลงเขาเกิดเบรกไม่อยู่ เนื่องจากลมหมด จึงทำให้พุ่งชนท้ายรถพ่วงบรรทุกไม้อีกคันที่อยู่ด้านหน้า จนกระเด็นไปคนละทิศละทาง ไม้กระจายเกลื่อนถนน ด้วยความแรงยังวิ่งไปเฉี่ยวชนกับรถที่วิ่งอยู่ด้านหน้าเสียหายอีก 8 คัน เป็นรถกระบะ 5 คัน, รถเก๋ง […]

มส.มีมติสั่งปลด-ถอดสมณศักดิ์ พระอาบัติปาราชิก เรียกพระ 5 รูปแจงด่วน

กรุงเทพฯ 13 ก.ค.-มหาเถรสมาคม ประชุมนัดพิเศษ มีมติสั่งปลด-ถอดสมณศักดิ์ พระอาบัติปาราชิก เผยสึกแล้ว 6 คน ยังติดต่อไม่ได้ 2 คน เตรียมแก้กฎมหาเถรสมาคม อ้างสุดล้าหลังกว่า 50 ปี ขณะที่พระเทพพัชราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดชูจิตฯ ชิงลาออกแล้ว นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) แถลงข่าวภายหลังการประชุมมหาเถรสมาคมนัดพิเศษ ครั้งที่ 1/2568 ว่า สมเด็จพระสังฆราชห่วงใยต่อกระแสข่าวที่เกิดขึ้น จึงมีพระบัญชาให้มหาเถรสมาคม นิมนต์กรรมการฯประชุมเร่งด่วน ซึ่งทางกรรมการฯ มีข้อห่วงใย และมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยมีมติ ดังนี้ -พระที่ถูกกล่าวหา ต้องอาบัติปราชิก ถือว่าสิ้นสุดความเป็นพระภิกษุทางวินัย และต้องสึกโดยทันที ส่วนพระที่ยังไม่ถึงขั้นปราชิก ก็ให้ปลดออกจากตำแหน่งเจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกรูป และจะมีมติขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถอดสมณศักดิ์-ในระยะเร่งด่วน ให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ทุกระดับ ตรวจสอบดูแลและกำกับพฤติกรรมองพระในปกครองอย่างใกล้ชิด หากพบพฤติกรรมละเมิดพระธรรมวินัยให้ดำเนินการสอบสวน และรายงานมหาเถรสมาคมโดยเร็ว-กรณีพระภิกษุถูกกล่าวหาผิดพระธรรมวินัย ประเภทครุกาบัติ ให้ออกคำสั่พักการปฏิบัติหน้าที่ และให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฏหมาย พร้อมขอให้ระมัดระวังการให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนและสาธารณชน เนื่องจากยังเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา-และทบทวนปรับปรุงกฎระเบียบคณะสงฆ์ว่าด้วยการประทำผิดพระธรรมวินัย ประเภทครุกาบัติ โดยมหาเถรสมาคม เห็นควรขอประทานพระวินิจฉัยสมเด็จพระสังฆราช มีพระบัญชาโปรดให้แต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อคุ้มครองพระพุทธศาสนาคณะหนึ่ง […]

ส่งตัวดำเนินคดี นักท่องเที่ยวไทยทำร้ายทหารกัมพูชา

สุรินทร์ 13 ก.ค.-ทบ. เผยนักท่องเที่ยวไทยต่อยทหารกัมพูชา ที่ปราสาทตาเมือนธม เป็นอดีตทหารพราน ส่งตัวให้ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 13 ก.ค.68 พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกกล่าวถึงกรณีที่งนักท่องเที่ยวชาวไทย ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาชุดประสานงาน ที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ว่า กองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารี ว่า เมื่อเวลาประมาณ 10.20 น. ได้เกิดเหตุการณ์นักท่องเที่ยวชาวไทยทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาชุดประสานงาน ณ บริเวณปราสาทตาเมือนธม โดยผู้ก่อเหตุได้ชกเจ้าหน้าที่กัมพูชา ทั้งทางด้านหลังและด้านหน้า ก่อนจะหลบหนีออกจากพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยสามารถติดตามและควบคุมตัวได้ในเวลาต่อมา จากการตรวจสอบเบื้องต้น ทราบว่าผู้ก่อเหตุคือ นายสมหมาย ศรีศุกรานันทน์ อดีตอาสาสมัครทหารพราน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานชมรมทหารพรานจิตอาสาค่ายปักธงชัย และประธานเครือข่ายทหารผ่านศึกจังหวัดสมุทรสาคร ทั้งนี้ เนื่องจากบริเวณพื้นที่เกิดเหตุเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทางเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายไทย ได้ทำความเข้าใจกับผู้เสียหายไปแล้วในเบื้องต้น เพื่อพยายามไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ในระดับเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย สำหรับผู้ก่อเหตุ ได้ให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป.-313.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทบ. เร่งตรวจสอบวิเคราะห์ “ทุ่นระเบิด” คาดผลชัด 2-3 วัน

17 ก.ค.- โฆษก ทบ. แจงเร่งตรวจสอบเหตุกำลังพลเหยียบกับระเบิดชายแดนช่องบก คาดใช้เวลา 2-3 วัน ชัดเจนเรื่องชนิดและห้วงเวลาที่มีการนำทุ่นระเบิดมาติดตั้ง ยังไม่ยืนยันว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่ พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยภายหลังได้รับทราบรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 กรณีเมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (16 ก.ค.68) เกิดเหตุกำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 6021 เหยียบกับระเบิดระหว่างการลาดตระเวนในพื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี ทำให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ปัจจุบันทุกนายอาการปลอดภัยอยู่ในระหว่างการพักสังเกตอาการที่โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี อย่างใกล้ชิด สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับทุ่นระเบิดดังกล่าวนั้น ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเข้าพื้นที่เกิดเหตุและเก็บหลักฐาน มาดำเนินการวิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดอย่างละเอียด ซึ่งขั้นตอนนี้ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 – 3 วัน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจน ในเรื่องของชนิดและห้วงเวลาที่มีการนำทุ่นระเบิดมาติดตั้ง ตามที่สังคมได้ให้ข้อสังเกตว่าอาจเป็นทุ่นระเบิดที่ถูกวางขึ้นใหม่ ไม่ใช่ทุ่นระเบิดที่ตกค้างอยู่ในพื้นที่การสู้รบเดิม ทั้งนี้ โฆษกกองทัพบก ยังได้กล่าวว่า หลังจากนี้หน่วยในพื้นที่ชายแดน จะได้มีการตรวจสอบพิสูจน์ทราบเพิ่มเติมว่า ทางกัมพูชาได้มีการนำทุ่นระเบิดมาใช้ในพื้นที่หรือไม่ เพราะในปัจจุบันทั้งไทยและกัมพูชา ได้ให้สัตยาบันในการเข้าร่วมเป็นประเทศภาคีในอนุสัญญาออตตาวา ว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2542.-สำนักข่าวไทย

“พิเชษฐ์” ชิงปิดประชุมสภาฯ หลังถกวุ่นเสนอนับองค์ประชุม

รัฐสภา 17 ก.ค.- “พิเชษฐ์” ทำแฮตทริก ชิงปิดประชุมสภาฯ หลัง “สส.ปชน.” เสนอนับองค์ประชุม ขณะที่ สส.เพื่อไทย ขอให้นับแบบขานชื่อ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 เป็นประธานการประชุม ขณะรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 66 และรายงานการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินประจำปีงบประมาณ 2566 ของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยมีผู้อภิปรายไปเพียงคนเดียวคือนายเอกราช อุดมอำนวย สส.กทม. พรรคประชาชน ทำให้นายเฉลิมพงศ์ แสงดี สส.ภูเก็ต พรรคประชาชน ลุกขึ้นอภิปรายว่า เห็นสมาชิกในห้องประชุมบางตาอยากจะเช็คความตั้งใจการทำงานของสส.ฝ่ายรัฐบาล จึงขอนับองค์ประชุม และมีผู้รับรองถูกต้องจากนั้นนายพิเชษฐ์ กดออดเรียกสมาชิกพร้อมกล่าวว่า “ไม่อยากอภิปรายแล้วหรือ” พร้อมทั้งขอให้วิปรัฐบาลแจ้งสส.ที่อยู่ในห้องประชุมอื่นเพื่อรีบเข้าห้องประชุมใหญ่ ขณะที่นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า การขอนับองค์ประชุมและมีผู้รับรอง ถือเป็นสิ่งสวยงาม แต่หากมีคนเสนอให้นับองค์ประชุมด้วยการขานชื่อ คงใช้เวลาถึงค่ำ ดังนั้น ขอร้องเพื่อนสมาชิก เดือนนี้ขออย่านับองค์ประชุมเลย แล้วไปนับองค์ประชุมเดือนหน้า […]

เจ้าหน้าที่เข้าพบพระพรหมบัณฑิต ขอตรวจสอบเส้นเงิน

กทม. 17 ก.ค. – เจ้าหน้าที่ 3 หน่วยงาน เข้าพบพระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสฯ ขอตรวจสอบเส้นเงิน หลังอดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาส เข้าไปพัวพันกับสีกากอล์ฟ พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา รักษาราชการแทนรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.), พ.ต.อ.สถาปนา จุณณวัตต์ ผู้กำกับการกองกำกับการ 6 กองบังคับการปราบปราม พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธแห่งชาติแห่งชาติ เดินทางเข้าพบพระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เพื่อพูดคุยและขอข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารการเงินภายในวัด หลังอดีตเจ้าคุณประสิทธิ์ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาส เข้าไปพัวพันกับสีกากอล์ฟ และตรวจสอบข้อเท็จจริงจากคำให้การของพยาน ที่พบเงินถูกพับในลักษณะถูกนำออกมาจากตู้บริจาคในบ้านของสีกากอล์ฟ ซึ่งการตรวจสอบในวันนี้จะเน้นเรื่องเส้นทางการเงินของวัดทั้งหมด ที่ต้องสงสัยว่าอาจมีบางส่วนถูกยักยอก มีรายงานเพิ่มเติมว่า เจ้าหน้าที่ทั้ง 3 หน่วยงาน ได้นำกำลังส่วนหนึ่งเข้าไปตรวจสอบที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เนื่องจากเจ้าคุณประสิทธิ์ เคยดำรงตำแหน่งเป็นรองอธิการบดี.-สำนักข่าวไทย

นักท่องเที่ยวแห่ชมปราสาทตาเมือนธม-ให้กำลังใจทหารต่อเนื่อง

สุรินทร์ 17 ก.ค. – กำลังใจไหลมาต่อเนื่อง สู่ทหารแนวหน้าบริเวณปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ท่ามกลางการคุมเข้มตามข้อตกลงใหม่ หลังเกิดเหตุป่วนเมื่อ 2 วันก่อน กลุ่มเพื่อนดนตรีจิตอาสาจากกรุงเทพฯ นัดแต่งชุดธีมลายพราง ให้กำลังใจ พร้อมโชว์ลูกคอเพลง “บ้านเกิดเมืองนอน” แม้วันนี้จะยังไม่มีคณะทัวร์ใหญ่ แต่มีนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศทยอยเดินทางเข้ามาเที่ยวชมปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ และให้กำลังใจทหารอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงเปิด 09.00 น.ที่ผ่านมา นอกจากชมความงดงามปราสาทที่สร้างเป็นพระตำหนักของกษัตริย์ขอม อายุนับพันปีแล้ว สิ่งที่นักท่องเที่ยวสนใจคือ รอยต่อเขตแดนไทย-กัมพูชา บริเวณแนวต้นขี้เหล็ก ทางขึ้นตัวปราสาทด้านกัมพูชาที่เคยมีแนวรั้วไม้กั้น หลังเหตุปะทะปี 2554 แต่ต่อมามีการรื้อออกไปในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ต้องการรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับกัมพูชา ซึ่งบริเวณเดียวกันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่หญิงกัมพูชาตะโกนใส่ทหารไทย ว่ารุกล้ำเขตแดน จนมีการกระทบกระทั่งกันเมื่อ 2 วันก่อน อีกจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมถ่ายภาพคือ หลักหมุด GPS ด้านหน้าทางขึ้นตัวปราสาทฝั่งไทย ซึ่งทหารไทยไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวกัมพูชารุกล้ำเกินหลักหมุดนี้ สำหรับแนวทางปฏิบัติเจ้าหน้าที่กำชับไม่ให้ถ่ายภาพบริเวณทางเดินก่อนถึงตัวปราสาท และไม่ให้ตามเกมยั่วยุของอีกฝ่าย พร้อมย้ำให้สบายใจได้ว่าไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบเรื่องอธิปไตยเหนือตัวปราสาทอยู่แล้ว กลุ่มเพื่อนดนตรีจิตอาสาจากกรุงเทพฯ อดรนทนไม่ได้ที่เห็นกัมพูชายั่วยุบ่อยครั้ง จึงนัดกันแต่งชุดธีมลายพรางทหาร เพื่อแสดงความเป็นพวก ให้กำลังใจทหาร พร้อมโชว์ลูกคอในบทเพลง […]