กรุงเทพฯ 19 พ.ค. – หุ้น NSL เปิดเทรดวันแรกที่ 14.60 บาท เพิ่มขึ้น 2.60 บาท (+21.67%) จากราคาขาย IPO ที่ 12.00 บาท/หุ้น
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยินดีต้อนรับ NSL เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม
สำหรับ NSL ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสำเร็จรูป เช่น แซนด์วิชอบร้อน เบเกอรี่ ขนมขบเคี้ยว วางจำหน่ายตามร้าน 7-11 และเป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายเนื้อสัตว์ ผักแช่แข็ง โดยแบ่งธุรกิจได้ 4 ประเภท ได้แก่ 1.เบเกอรี่แบรนด์ของ 7-11 ที่ NSL ผลิตให้ 2.แบรนด์ขนมขบเคี้ยวที่ NSL พัฒนาเอง 3.ธุรกิจ Food Service นำเข้าและแปรรูปเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ผักแช่แข็ง พร้อมนำไปประกอบอาหาร และ 4.รับจ้างผลิตเบเกอรี่ หรือ OEM
นายสมชาย อัศวปิยานนท์ กรรมการ ผู้อำนวยการ บริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ NSL กล่าวว่า รู้สึกพอใจกับราคาเปิดตลาดวันนี้ โดยบริษัทตั้งเป้าดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ Nutrition Sustainable for Life เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำทางด้านนวัตกรรมอาหารเพื่อโภชนาการที่ดีและยั่งยืนในทุกช่วงวัยของชีวิต
สำหรับเป้าหมายหลักของการระดมทุนเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อจ่ายคืนหนี้สินเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับที่ปรึกษาทางการเงิน จำนวน 350 ล้านบาท 2.เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ จำนวน 200 ล้านบาท และ 3.เพื่อใช้สำหรับลงทุนโรงงานแห่งใหม่ จำนวน 350 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นก่อสร้างโรงงาน 240 ล้านบาท ลงทุนในเครื่องจักรประมาณ 110 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 1 ปี คาดว่าจะสามารถผลิตได้เต็มกำลัง ในปี 2566
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ปี 2564 เติบโตสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีรายกำไรสุทธิอยู่ที่56.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75% จากปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 7.3% จาก 4% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ตามเป้าหมายที่วางไว้ตอกย้ำเป้าหมายรายได้รวมในปี 2564 ไม่ต่ำกว่า 3,500 ล้านบาท เติบโตไม่ต่ำกว่า 16% โดยรายได้รวมอีก 5 ปี (2564-2568) คาดการณ์ว่าจะไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท
พร้อมตั้งเป้ารายได้ ปี 2564 ไม่ต่ำกว่า 3,500 ล้านบาท เติบโต 16% และตั้งเป้ายอดขาย 6,000 ล้านบาท ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายธุรกิจใหม่ๆ ในกลุ่มขนมขบเคี้ยวแบรนด์, กลุ่ม Food Services ซึ่งมีแผนเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆในทุกไตรมาสในปีนี้
ขณะที่ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 56.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74.98% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 32.06 ล้านบาท โดยสาเหตุสำคัญมาจากการบริหารจัดการต้นทุนได้ในระดับที่ดี และมีนโยบายควบคุมค่าใช้จ่ายในบริษัท นอกจากนี้ต้นทุนทางการเงินและค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ปรับลดลงเช่นกัน จึงส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้น อยู่ที่ระดับ 7.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ระดับ 4%
ขณะเดียวกันยอมรับว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบกับทุกธุรกิจ ซึ่งทางบริษัทก็ได้รับผลกระทบบ้าง โดยมีมาตรการดูแลความปลอดภัยให้กับพนักงานที่โรงงานอย่างเข้มงวด พร้อมให้ความรู้สร้างความเข้าใจให้กับพนักงานอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่า แม้จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ผลการดำเนินงานจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน . – สำนักข่าวไทย