กรุงเทพฯ 16 ก.ย. – เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะนักลงทุนจับตาเลือกตั้งสหรัฐฯ ปลายปีนี้ ประเมินนายโจ ไบเดน มีโอกาสสูงที่จะชนะการเลือกตั้ง และจะส่งผลดีในระยะสั้นแต่มีความเสี่ยงระยะยาว
นายธีรเศรษฐ์ พรหมพงษ์ นักกลยุทธ์ เศรษฐศาสตร์มหภาค บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) แนะนักลงทุนจับตาการเลือกตั้งสหรัฐฯวันที่ 3 พ.ย. นี้ ถือเป็นกุญแจสำคัญที่นักลงทุนต้องติดตาม ซึ่งนอกเหนือจะเป็นวันชี้ชะตาว่าประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัทป์ จะสามารถดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อได้อีกวาระหรือไม่ ยังเป็นวันที่จะเกิดความชัดเจนในนโยบายที่สำคัญในหลายๆด้านของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การค้า นโยบายต่างประเทศ ที่ล้วนแต่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประเทศต่างๆทั่วโลก ซึ่งแนวทางการดำเนินนโยบายของทั้งประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และ นายโจ ไบเดน น่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันคือพลิกฟื้นเศรษฐกิจ และมุ่งเน้นการกลับมายิ่งใหญ่ของประเทศสหรัฐฯ ภายใต้รายละเอียดปลีกย่อยที่ต่างกัน ประเมินว่านายโจ ไบเดน มีโอกาสสูงที่จะชนะการเลือกตั้ง และจะส่งผลดีในระยะสั้นแต่มีความเสี่ยงระยะยาว หากนายโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้ง ระยะสั้นจะส่งในด้านบวกช่วยลดความตึงเครียดประเด็นสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ลงได้ แต่จะส่งผลลบในระยะยาวจากนโยบายการปรับขึ้นภาษี ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นหลังเศรษฐกิจฟื้นตัวจากโควิด-19 ถือเป็นปัจจัยกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยง และอาจส่งผลต่อความเสี่ยงต่อการเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจซึ่งเกิดจากการสูญเสียแรงขับเคลื่อนทางการคลังอย่างรุนแรง เนื่องมาจากมาตรการด้านการคลังชั่วคราว ที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในยามที่เกิดวิกฤตินั้นสิ้นสุดลง (Fiscal Cliff) แต่ในทางกลับกันหากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ พลิกกลับมาชนะจะถือเป็นด้านบวก (Positive Surprise) เนื่องจากตลาดชอบนโยบายภาษีที่เอื้อต่อบรรยากาศการลงทุน แม้ว่าประเด็นเรื่องสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนอาจกลับมากดดันเป็นระยะๆ แต่ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ และตลาดเคยชินแล้วในระดับหนึ่ง บวกกับเศรษฐกิจสหรัฐฯปัจจุบันยังอยู่ในภาวะที่ย่ำแย่ ดังนั้นโอกาสที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะก่อสงครามการค้ารอบใหม่น่าจะเกิดขึ้นได้ยาก
ดังนั้นคาดว่าตลาดจะผันผวนสูงช่วงก่อนเลือกตั้งและปรับตัวขึ้นหลังจากนั้น จากการเลือกตั้งสหรัฐฯในช่วง 5 ครั้งล่าสุดที่ผ่านมา (ปี 2000 – 2016) ความผันผวนของตลาดหุ้นทั้งสหรัฐฯและไทยจะเร่งตัวขึ้นในช่วงประมาณ 1 เดือนก่อนการเลือกตั้ง และค่อยๆลดลงหลังการเลือกตั้งจบ สะท้อนภาวะที่ตลาดเกิดความไม่แน่นอนต่อการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองของสหรัฐฯ และการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบทั่วโลก และหากพิจารณาผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยพบว่า SET Index ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 7.82% และ 11.15% หลังผ่านพ้นการเลือกตั้งไปแล้ว 3 และ 6 เดือน ตามลำดับ สะท้อนภาวะตลาดที่ชอบความชัดเจน และเริ่มทยอยตอบรับเชิงบวกจากการเข้ามาดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่
นอกจากนี้หากพิจารณาเป็นรายกลุ่มอุตสาหกรรมจะเห็นว่าในช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้นในปี 2012 และ 2016 หุ้นที่ Underperform สามารถพลิกกลับขึ้นมา Outperform ในขณะที่ปี 2008 ที่ตลาดเป็นขาลง หุ้นกลุ่มที่ถูกขายลงมาเยอะช่วงก่อนการเลือกตั้ง กลับมาฟื้นตัวนำตลาดได้หลังจากนั้น ซึ่งเราประเมินว่าภาพดังกล่าวมีโอกาสเกิดขึ้นได้อีกครั้งช่วงหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯปี 2020 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯในปัจจุบันยังคงต้องการความต่อเนื่องและความชัดเจนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมไปถึงความชัดเจนของนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและผลิตวัคซีน แต่ในทางกลับกันภาวะเศรษฐกิจที่อยู่บนความไม่แน่นอน ทำให้นักลงทุนเลือกที่จะต่อรองราคามากกว่าไล่ราคา และมองหาหุ้นที่ราคาอยู่ในจุดที่ดึงดูด โดยหุ้นกลุ่มที่ยัง Underperform ดัชนี SET Index และมีโอกาสเป็นเป้าเข้าซื้อในช่วงการเลือกตั้ง ประกอบไปด้วย 7 หมวดอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ Banking, Property, Media, Tourism, Energy, Transport และ Healthcare.-สำนักข่าวไทย