กรุงเทพฯ 11 ก.ย. – กรมส่งเสริมสหกรณ์ออกแถลงการณ์ปัญหาสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ พบส่อทุจริตตั้งแต่ปี 2559 ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่นายทะเบียนสหกรณ์ แก้ปัญหาขาดสภาพคล่อง เป็นผลให้สหกรณ์เจ้าหนี้ 15 ราย จ่ายเงินปันผลให้สมาชิกได้ ส่วนอีก 5 รายจ่ายไม่ได้ เพราะสัญญากู้ลงนามโดยผู้ไม่มีอำนาจตามกฎหมายและอยู่ระหว่างดำเนินคดี
กรมส่งเสริมสหกรณ์ (กสส.) ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีมีข่าวการทุจริตในสหกรณ์ออมทรัพย์สโมสรรถไฟ จำกัด (สอ.สรฟ.) โดยระบุว่า กสส.ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ปล่อยให้เกิดการทุจริตในสหกรณ์ดังกล่าวสร้างความเสียหายและส่งผลกระทบต่อสหกรณ์เจ้าหนี้กว่า 90 แห่ง มูลค่าเสียหายกว่า 23,000 ล้านบาท ซึ่งข่าวดังกล่าวอาจทำให้สมาชิก สอ.สรฟ.และสหกรณ์เจ้าหนี้ตื่นตระหนก โดย กสส.ยืนยันว่าตั้งแต่พบการกระทำส่อทุจริตของ สอ.สรฟ. ในเดือน ต.ค. 2559 โดยกรรมการ สอ.สรฟ.อนุมัติเงินกู้พิเศษไม่เป็นไปตามระเบียบให้แก่สมาชิก 6 รายในช่วงปี 2556 – 2559 รวม 199 สัญญา ยอดเงินกู้ 2,285 ล้านบาท กสส.เข้าแก้ไขปัญหาทันที จนกระทั่งวันที่ 2 ส.ค. 2561 คณะกรรมการ สอ.สรฟ.แจ้งความดำเนินคดีทั้งแพ่งและอาญากับกรรมการชุดที่กระทำผิดต่อพนักงานสอบสวน จนเสนอสำนวนให้พนักงานอัยการสั่งฟ้อง แต่มีปัญหาเรื่องเขตอำนาจสอบสวน จึงมีการส่งสำนวนกลับมาให้ สน.นพวงศ์ ดำเนินการสอบสวนต่อ ปัจจุบันเรื่องยังคงอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน ดังนั้น จึงไม่ได้มีการปล่อยให้เกิดการทุจริตแล้วไม่ดำเนินการแต่อย่างใด
เดือนตุลาคม 2562 กสส.จัดให้มีการหารือระหว่าง สอ.สรฟ.และสหกรณ์เจ้าหนี้เงินฝากและเงินกู้ทั้ง 15 แห่ง รวม 3,037.51 ล้านบาท เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาสภาพคล่องของ สอ.สรฟ. จนนำมาสู่การทำข้อตกลงร่วมกันในการชำระเงินฝากคืนให้กับสหกรณ์เจ้าหนี้ 9 แห่ง และทยอยชำระหนี้เงินกู้ให้กับสหกรณ์เจ้าหนี้ 1 แห่ง ซึ่งตอนนี้มียอดหนี้คงเหลือตามบันทึกข้อตกลง 2,153 ล้านบาท ยกเว้นสหกรณ์เจ้าหนี้ 5 แห่ง มูลหนี้ 747 ล้านบาท เนื่องจากกรรมการ สอ.สรฟ.ชุดที่ 13 พบว่า ผู้ลงนามในสัญญาเงินกู้ไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจตามกฎหมาย ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินคดีตามกฎหมายของสหกรณ์เจ้าหนี้ โดยได้มีการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นแล้ว
ทั้งนี้ สภาพคล่องของ สอ.สรฟ. เมื่อเดือน ส.ค. 2563 พบว่า มีเงินเข้า 53.4 ล้านบาทต่อเดือน สามารถจ่ายเงินกู้ให้สมาชิกประมาณ 18.5 ล้านบาท จ่ายคืนเงินฝากแก่สมาชิก 6.5 ล้านบาท ชำระหนี้/จ่ายคืนเงินฝากแก่สหกรณ์เจ้าหนี้ตามบันทึกข้อตกลงร่วมกัน 25.48 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายบริหารจัดการ 1.03 ล้านบาท มีเงินสดเหลือ 1.86 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นผลดีของการร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ทำให้ สอ.สรฟ.ดำเนินธุรกิจต่อไปและสามารถชำระหนี้กับสหกรณ์เจ้าหนี้ได้ตามข้อตกลง สำหรับแผนดังกล่าวจะมีการติดตามประมวลผลทุก 3 เดือน และทบทวนแผนทุก 1 ปี
กสส.ให้ความมั่นใจได้ว่าเร่งแก้ไขปัญหาทันทีและต่อเนื่อง โดยยึดแนวการแก้ไขตามระเบียบและ พ.ร.บ.สหกรณ์ พ.ศ.2542 โดยวันที่ 21 พ.ย. 2559 ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสหกรณ์กรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1 ในฐานะนายทะเบียนสหกรณ์ ที่ได้รับมอบอำนาจจากอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์มีคำสั่งให้ระงับการให้เงินกู้พิเศษ 6 ราย จากนั้น 29 พ.ย. 2559 นายทะเบียนสหกรณ์มีคำสั่งให้คณะกรรมการ สอ.สรฟ. แก้ไขข้อบกพร่องโดยให้ทั้ง 6 ราย ส่งเงินกู้พิเศษก้อนดังกล่าวคืนภายใน 60 วัน ต่อมาเดือน มี.ค. 2560 เมื่อพบว่าคณะกรรมการ สอ.สรฟ.ยังแก้ไขไม่ครบถ้วน รองนายทะเบียนสหกรณ์ได้ให้กรรมการ สอ.สรฟ. และผู้จัดการสหกรณ์ชี้แจงข้อเท็จจริง ซึ่ง สอ.สรฟ.ตอบกลับมาว่าตั้งคณะอนุกรรมการติดตามทวงเงินจาก 6 รายแล้ว และพบว่าคณะกรรมการ สอ.สรฟ.ที่อนุมัติเงินกู้ผิดระเบียบ คือ กรรมการ สอ.สรฟ. ชุดที่ 7 – 11
ดังนั้น วันที่ 11 ก.ค. 2560 นายทะเบียนสหกรณ์จึงสั่งการให้คณะกรรมการฯ มีหนังสือเรียกให้อดีตกรรมการในชุดที่ 7 – 11 ชดใช้เงินคืนกับ สอ.สรฟ. ภายใน 30 วัน และตรวจสอบว่ามีผู้จัดการและเจ้าหน้าที่ สอ.สรฟ. มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ เพื่อดำเนินการทางวินัยต่อไป และหากว่าผู้กู้ทั้ง 6 ราย ไม่คืนเงินให้ดำเนินการร้องทุกข์ฟ้องคดีภายใน 15 วัน หรือหากผู้กู้ทั้ง 6 ราย อ้างว่ายังไม่ครบอายุสัญญาให้บอกเลิกสัญญาและเรียกคืนเงินกู้ทั้งหมดใน 30 วัน และฟ้องดำเนินคดีต่อไป
ส่วนการติดตามการแก้ไขข้อบกพร่องของคณะกรรมการ สอ.สรฟ. และบริหารสภาพคล่องของสหกรณ์นั้น เมื่อพบว่า กรรมการ สอ.สรฟ. ไม่ปฏิบัติตามที่นายทะเบียนสหกรณ์สั่ง ในวันที่ 19 ต.ค. 2560 นายทะเบียนสหกรณ์จึงร้องทุกข์กล่าวโทษคณะกรรมการ สอ.สรฟ. ที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนายทะเบียนสหกรณ์ ต่อพนักงานสอบสวนที่สน.บางรัก
จากนั้น สอ.สรฟ.ได้เลือกตั้งกรรมการชุดใหม่เมื่อ 25 ต.ค. 2560 ได้กรรมการชุดที่ 12 เมื่อเข้าทำงานเป็นระยะเวลา 1 เดือน ผู้ตรวจการสหกรณ์พบว่า คณะกรรมการชุดที่ 12 ยังดำเนินการตามคำสั่งนายทะเบียนสหกรณ์ไม่ครบถ้วน เป็นการขัดคำสั่งนายทะเบียนสหกรณ์ จึงใช้อำนาจตามมาตรา 21 ของ พ.ร.บ. สหกรณ์ พ.ศ. 2542 ร้องทุกข์หรือฟ้องคดีแทน สอ.สรฟ. ต่อพนักงานสอบสวนที่ สน.บางรัก เพื่อดำเนินคดีอาญาและแจ้งต่ออัยการสูงสุดพิจารณาให้พนักงานอัยการรับว่าต่างฟ้องคดีทางแพ่งต่อคณะกรรมการชุดที่ 7 – 11และผู้จัดการ รวม 26 ราย และใช้อำนาจมาตรา 22 (4) ให้คณะกรรรมการ สอ.สรฟ. ชุดที่ 12 พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนายทะเบียนสหกรณ์ แล้วแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ชุดชั่วคราวเข้ามาบริหารกิจการ 15 คน เป็นเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมสหกรณ์ 8 คน และตัวแทนสมาชิก สอ.สรฟ. 7 คน วาระทำงาน 180 วัน ภาระกิจหลัก คือ การเรียกเงินคืนจากลูกหนี้ทำให้สหกรณ์เสียหายและฟ้องดำเนินคดี และแก้ไขสภาพคล่องเพื่อให้ สอ.สรฟ. ดำเนินธุรกิจได้ปกติ และจัดประชุมใหญ่เพื่อเลือกกรรมการ สอ.สรฟ. ขึ้นมาบริหารต่อไป
ระหว่างวันที่ 30 – 31 พ.ค. 2561 คณะกรรมการ สอ.สรฟ. ชุดชั่วคราวได้จัดการหารือกับสหกรณ์เจ้าหนี้ทั้ง 15 แห่ง แล้วจัดทำ MOU กับสหกรณ์เจ้าหนี้ 12 สหกรณ์และบันทึกช่วยจำกับสหกรณ์เจ้าหนี้ 2 สหกรณ์ รวม 14 สหกรณ์ (ยกเว้นสหกรณ์ออมทรัพย์วชิรพยาบาล จำกัด) ในประเด็นการจ่ายคืนเงินฝากและชำระหนี้เงินกู้ เพื่อรักษาสภาพคล่องของสหกรณ์ และในวันที่ 2 ส.ค.61 คณะกรรมการชุดชั่วคราวมีมติมอบให้ทนายของสหกรณ์ดำเนินคดีอาญาและคดีแพ่งกับสมาชิก 6 รายที่ทำให้สหกรณ์เสียหาย และผู้ที่เกี่ยวข้องอีก 2 ราย จากนั้น 31 ส.ค. 2561 สำหรับคณะกรรมการบริหาร สอ.สรฟ. ปัจจุบันเป็นชุดที่ 14 ซึ่งติดตามการดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำให้สหกรณ์เสียหายอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของกสส. ซึ่งเป็นนายทะเบียนสหกรณ์.-สำนักข่าวไทย