กรุงเทพฯ 3 ส.ค. – พลังงานทดแทนคึกคัก บีซีพีจีเข้าซื้อ 4 กิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไทย 20 เมกะวัตต์ ด้านกลุ่มบ้านปูซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนาม 37.6 เมกะวัตต์
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นกับบริษัท อีเทอร์นิตี้ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) เพื่อเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดกำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวม 20 เมกะวัตต์ โดยการซื้อหุ้นร้อยละ 99.99 ในบริษัท อาร์พีวี พลังงาน จำกัด (RPV) วงเงิน 871 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการ 4 โรงไฟฟ้าใน จังหวัดกาญจนบุรี ลพบุรี และปราจีนบุรี เป็นโรงไฟฟ้า เป็นโรงไฟฟ้าที่ได้รับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (adder) 15 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าที่ได้รับค่าขายไฟฟ้าในแบบ feed-in-tariff จำนวน 5 เมกะวัตต์ ซึ่งโรงไฟฟ้าทุกแห่งเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว และสามารถรับรู้รายได้ทันทีเมื่อการซื้อขายแล้วเสร็จ ซึ่งคาดว่าจะอยู่ภายในไตรมาสนี้ ซึ่งการซื้อกิจการเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ 5 ปีของบริษัทฯ ซึ่งบีซีพีจีมีแผนขยายกิจการและพัฒนาโครงการที่มีอยู่ในพอร์ตให้เพิ่มขึ้น โดยจนถึงปี 2568 วางเป้าหมายโรงไฟฟ้าผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) ครบ 841.9 เมกะวัตต์ หรือเทียบเท่ากำลังการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ที่ระดับ 2,200 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันที่ COD แล้ว 451.8 เมกะวัตต์ หรือเทียบเท่ากำลังการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ 1,450 เมกะวัตต์
ก่อนหน้านี้นายบัณฑิต ระบุว่าโครงการลงทุนในไทยเป็นไปตามแผนมีกำลังการผลิตเข้าระบบ (COD) แล้ว 151.2 เมกะวัตต์ ทั้งโครงการโซลาร์ และพลังงานลม ขณะที่อยู่ระหว่างพัฒนาโครงการโซลาร์อีก 15.5 เมกะวัตต์ และยังมองโอกาสการลงทุนโครงการโซลาร์รุ่นเก่าที่มีผู้เสนอขายออกมามากในช่วงนี้รวมประมาณ 300-400 เมกะวัตต์ หลังจากเกิดสถานการณ์โควิด-19 ทำให้หลายรายมีความต้องการเงินสดมากขึ้น ซึ่งบริษัทจะเข้าไปปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต คาดว่าน่าจะยังคงได้รับอัตราผลตอบแทนการลงทุนในระดับราว 10% ซึ่งยังคุ้มค่ากับการลงทุน
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทในเครือฯ ได้เข้าซื้อโรงไฟฟ้าพลังงานลม El Wind Mui Dinh ตั้งอยู่ในจังหวัดนินห์ถ่วน บริเวณชายฝั่งทะเลภาคกลางตอนใต้ของเวียดนามตั้งอยู่ในจังหวัดนินห์ถ่วน บริเวณชายฝั่งทะเลภาคกลางตอนใต้ของเวียดนามเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2562 มีกำลังการผลิตติดตั้ง 37.6 เมกะวัตต์ จากกังหันลม 16 ตัว แต่ละตัวมีกำลังการผลิต 2.35 เมกะวัตต์ มีราคารับซื้อไฟฟ้าแบบ Feed-in-Tariff (FIT) ที่ 8.5 เซนต์สหรัฐต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 20 ปีตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าเวียดนาม (Vietnam Electricity หรือ EVN) มูลค่าซื้อกิจการครั้งนี้ 66 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่าประมาณ 2,065 ล้านบาท มาจากกระแสเงินสดของบ้านปูฯ และบ้านปู เพาเวอร์ในสัดส่วนที่เท่ากัน ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวอยู่ระหว่างการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องในสัญญา และการได้รับอนุมัติจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง โดยคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 โดยเป็นการลงทุนผ่านบริษัท BRE Singapore Pte. Ltd. (BRES) บริษัทย่อยที่บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นในอัตราร้อยละ 50 ผ่านบริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด (BanpuNEXT)
“นับเป็นอีกก้าวที่ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการลงทุนในระยะยาวของบริษัทฯ ในเวียดนาม ซึ่งถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตและมีการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์สูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก รัฐบาลเวียดนามได้ประกาศอนุมัติโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมเพิ่มอีก 7 กิกะวัตต์ ส่งผลให้ประเทศเวียดนามจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานลมรวมถึงเกือบ 12 กิกะวัตต์ภายในปี 2568” นางสมฤดี กล่าว
กลุ่มบริษัทบ้านปูฯ ตั้งเป้าหมายที่จะสามารถผลิตไฟฟ้ารวม 6,100 เมกะวัตต์ภายในปี 2568 โดยเน้นการลงทุนในตลาดที่ความต้องการใช้พลังงานมีการเติบโต โดยมีบริษัทบ้านปูเน็กซ์มุ่งมั่นนำทัพในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน รวมถึงเทคโนโลยีด้านพลังงานต่อไป รวมโรงไฟฟ้าพลังงานลม El Wind Mui Dinh บ้านปูฯ จะมีกำลังผลิตรวมจากพลังงานหมุนเวียน 818 เมกะวัตต์.- สำนักข่าวไทย