MEA ครบรอบ 67 ปี “จากแสงแรก สู่แสงแห่งความยั่งยืน”

กรุงเทพฯ 1 ส.ค. – MEA ครบรอบ 67 ปี “จากแสงแรก สู่แสงแห่งความยั่งยืน” (67th SPARK The Sustainable Power) ในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนา MEA หรือ การไฟฟ้านครหลวง ครบรอบ 67 ปี ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568


นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการ MEA เปิดเผยถึงการเดินทางแห่งพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย ภายใต้ธีม “จากแสงแรก สู่แสงแห่งความยั่งยืน – 67th SPARK The Sustainable Power” ณ อาคารวัฒนวิภาส MEA สำนักงานใหญ่ พร้อมเตรียมเปิด MEA SPARK หรือพิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าไทย แหล่งเรียนรู้แห่งใหม่ที่บอกเล่าเรื่องราวการเดินทางของแสงไฟดวงแรกแห่งสยาม สู่อนาคตพลังงานอัจฉริยะ ที่สะท้อนบทบาท MEA ในฐานะองค์กรรัฐวิสาหกิจภายใต้กระทรวงมหาดไทย ที่เป็นผู้นำด้านระบบจำหน่ายไฟฟ้า พร้อมมุ่งหน้าสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อตอบสนองนโยบายการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่ากับศูนย์ หรือ Carbon Neutrality ของ MEA ในการจัดงานต้อนรับผู้มาแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนา MEA ครบรอบ 67 ปี MEA จึงได้เลือกใช้วัสดุที่ไม่สร้างขยะ และมีการซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยกับปริมาณทั้งหมดที่ปล่อยออกจากกิจกรรมที่เกิดขึ้น โดยได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เรียบร้อยแล้ว

ภายในงานมีผู้บริหารจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน ร่วมแสดงความยินดี พร้อมร่วมบริจาคเงินให้กับ มูลนิธิอนุเคราะห์คนพิการในพระบรมราชูปถัมภ์ จำนวน 380,035 บาท มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จำนวน 237,300 บาท และมูลนิธิอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี จำนวน 325,000 บาท เพื่อสนับสนุนกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ในการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมต่อไป


ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา MEA ได้มีบทบาทในการบุกเบิกอนาคต และถือเป็นความภาคภูมิใจขององค์กร อาทิ การกำเนิดไฟฟ้าครั้งแรกแห่งสยาม จุดเริ่มต้นของแสงไฟในพระนครเมื่อ 140 ปีก่อน เล่าเรื่องการส่องสว่างของโคมระย้าที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งถือเป็นการจุดประกายไฟฟ้าครั้งแรกของไทย โดยจะถูกถ่ายทอดผ่าน MEA SPARK หรือพิพิธภัณฑ์การไฟฟ้าไทย ณ อาคาร 1 การไฟฟ้านครหลวง เขตวัดเลียบ ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าวัดเลียบ (โรงไฟฟ้าแห่งแรกของประเทศไทย) อาคารนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 และมีอายุกว่า 100 ปี จะเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้พลังงานไฟฟ้า จุดประกายไอเดียสร้างสรรค์ให้กับทุกคน รวมถึงรถรางไฟฟ้าไทย ซึ่งเคยให้บริการในพระนครเมื่อกว่าศตวรรษก่อน นับเป็นระบบขนส่งสาธารณะพลังงานไฟฟ้าแห่งแรกในเอเชีย รถรางนี้จะกลับมามีชีวิตอีกครั้งในฐานะนิทรรศการถาวรภายใน MEA SPARK เพื่อเชื่อมโยงเรื่องราวพลังงานกับวิถีชีวิตเมืองในอดีตและอนาคต ภายใต้มาตรฐานสากล และเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของประเทศไทย

เสียงแรกแห่งการบริการ “MEA Call Center 1130” MEA เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจแห่งแรกในกระทรวงมหาดไทยที่ริเริ่มจัดตั้ง Call Center 1130 ตั้งแต่ปี 2543 และพัฒนาต่อเนื่องผ่าน LINE Official Account “MEA Connect” เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อสอบถาม บริการ และรับแจ้งเหตุไฟฟ้าตลอด 24 ชั่วโมง อีกทั้งยังเป็นรัฐวิสาหกิจด้านสาธารณูปโภคแห่งแรกของประเทศไทย ที่มีแอปพลิเคชัน MEA Smart Life รองรับหลากหลายบริการ อีกทั้งบริการออนไลน์ด้านระบบไฟฟ้าครบวงจรอย่าง MEA e-Service นอกจากนี้ ยังนำเทคโนโลยี GIS (Geographic Information System) ของ MEA ที่มีความละเอียดสูงที่สุดในประเทศไทย ด้วยมาตราส่วน 1 : 1000 มารวมกับแอป MEA Smart Life ให้ประชาชนสามารถแจ้งเหตุไฟฟ้าขัดข้องได้แบบ Real-time พร้อมระบบ FFM (Field Force Management) ที่เชื่อมโยงถึงเจ้าหน้าที่ในพื้นที่อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังมีการใช้ระบบ CMMS บริหารงานบำรุงรักษา เพิ่มความแม่นยำในการดูแลระบบจำหน่ายไฟฟ้าของเมือง อีกทั้งในปี 2568 MEA จะเริ่มให้บริการวิเคราะห์พื้นที่ติดตั้ง Solar Rooftop กับแผนที่ GIS ในรูปแบบจำลอง 3 มิติเสมือนจริง ในพื้นที่โครงการ Smart Metro Grid ให้ครอบคลุมพื้นที่ 3,200 ตารางกิโลเมตร ในพื้นที่ดูแลของการไฟฟ้านครหลวง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ

อีกทั้ง MEA เป็นองค์กรรัฐแห่งแรกที่นำยานยนต์ไฟฟ้า (EV) มาใช้ในภารกิจภายใน และยังผลักดันโครงสร้างพื้นฐาน EV อย่างต่อเนื่องผ่านโครงการ MEA EV Ecosystem การพัฒนาแอปพลิเคชัน MEA EV การคิดค้นนวัตกรรม PLUG ME EV ที่ต่อยอดรูปแบบการติดตั้งสถานีอัดประจุภายในอาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียม หรืออาคารอื่น ๆ ที่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ติดตั้งและด้านระบบไฟฟ้า พร้อมจัดทำมาตรฐาน “Charge Sure by MEA” ที่ช่วยยกระดับความปลอดภัยและความมั่นใจให้ผู้ใช้ EV


ผู้ว่าการ MEA กล่าวต่อว่า MEA ได้ริเริ่มโครงการก่อสร้างอุโมงค์สายส่งไฟฟ้าใต้ดินตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 โดยภายในมีสายส่งไฟฟ้าใต้ดินขนาดแรงดัน 230 kV ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3.60 เมตร ลึก 40 เมตร ยาว 1,300 เมตร ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดในบรรดาอุโมงค์สายส่งไฟฟ้าใต้ดิน ที่เพียบพร้อมด้วยระบบป้องกันอุทกภัยอย่างระบบระบายน้ำ (Drainage Pump System) และยังก่อสร้างทางลงอุโมงค์ในระยะพ้นน้ำ (Freeboard) รวมถึงติดตั้งระบบแจ้งเตือนอัคคีภัย และระบบระบายอากาศเพื่อป้องกันเหตุเพลิงไหม้ เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับระบบจำหน่ายไฟฟ้า พร้อมนำเสาไฟฟ้าที่ถูกรื้อถอน ไปจัดตั้งเป็นแนวป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลตามโครงการ “MEA’s Model” ร่วมกับฐานทัพเรือกรุงเทพ โดยครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งบางขุนเทียนและป้อมพระจุลจอมเกล้า รวมระยะทางกว่า 4.7 กิโลเมตร ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา

การดำเนินงานตลอด 67 ปีที่ผ่านมา MEA ยึดมั่นในหลัก ESG (Environment, Social, Governance) โดยไม่เพียงแต่ส่งมอบพลังงานไฟฟ้าอย่างมีเสถียรภาพ แต่ยังขับเคลื่อนประเทศด้วยนวัตกรรมพลังงานอัจฉริยะ พร้อมยกระดับงานบริการดิจิทัลเต็มรูปแบบ เพื่อความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนของประชาชนไทย และ MEA จะเดินหน้าตามเป้าหมาย Carbon Neutrality ปี 2593 เพื่ออนาคตพลังงานของประเทศไทยที่สะอาด เป็นธรรม และยั่งยืน. -517-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“ภูมิธรรม” ลั่นฟ้อง “ธนพร” อยู่ที่ทนายหากขอโทษแล้วจบหรือไม่

ทำเนียบ 21 ส.ค.-“ภูมิธรรม” ลั่นฟ้อง “ธนพร” อยู่ที่ทนายหากขอโทษแล้วจบหรือไม่ ย้ำวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่สุจริต ไม่มีข้อเท็จจริง ต้องรับผิดชอบ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีมอบอำนาจทนายความยื่นฟ้อง นายธนพร ศรียากูล ผอ.สถาบันวิเคราะห์การเมือง ฐานความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ถ้า นายธนพร ขอโทษ จะเลิกแล้วต่อกันหรือไม่ว่า แล้วแต่ทนายความตนได้มอบหมายไปแล้วเมื่อวานนี้ (20 ส.ค.) ส่วนจะฟ้องเฉพาะนายธนพร หรือจะมีบุคคลอื่นด้วยหรือไม่นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า อะไรที่เกินเลยเป็นการพูดที่ไม่รับผิดชอบทำลายเกียรติยศ เกียรติภูมิ ของผู้อื่น ก่อให้เกิดความสับสนเป็นภัยต่อปัญหาของประเทศก็คงฟ้อง เมื่อถามว่าที่ผ่านมาก็มีการวิพากษ์วิจารณ์กันแต่ไม่เคยมีการส่งฟ้องกันใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม ระบุว่า ไม่จริง มีการฟ้องกันมาเยอะแล้ว ถ้าไปทำลายเกียรติภูมิของเขาหรือครอบครัวเขาก็ฟ้องกันทั้งนั้น ถ้าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตไม่ผิดอะไร แต่ถ้าวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่สุจริต นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จอันนี้เป็นเรื่องที่ควรรับผิดชอบ และต้องถามผู้ที่วิจารณ์ว่า วิจารณ์ไปโดยที่ไม่มีข้อเท็จจริงเป็นที่ประจักษ์ ทำอย่างนี้ได้หรือเปล่า ต้องย้อนไปถามผู้ทำผิดอย่ามาย้อนถามผู้เสียหาย.-316.-สำนักข่าวไทย

รวบแล้ว! มือยิง “กำนันเล้น” หนีกบดานเกาะลันตา

กระบี่ 21 ส.ค. – ไล่ล่าเกือบ 20 วัน จับได้แล้วมือยิง “กำนันเล้น” กำนันคนดัง จ.ตรัง หนีกบดานเกาะลันตา จ.กระบี่ เจ้าหน้าที่ปิดล้อมกดดัน 3 วัน 3 คืน สุดท้ายไม่รอด เจ้าหน้าที่บุกจับ นายธวัชชัย อายุ 33 ปี ผู้ต้องหายิง นายบัณฑิต รองพล หรือ กำนันเล้น อายุ 57 ปี กำนัน ต.นาวง อ.ห้วยยอด จ.ตรัง เสียชีวิต เมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา คดีนี้อุกอาจและสะเทือนขวัญคนในพื้นที่มาก เพราะคนร้ายไปรอดักยิงกำนันถึงหน้าบ้าน ขณะที่กำนันกำลังขับรถเข้าบ้าน และใช้อาวุธสงคราม M16 ในการก่อเหตุ ซึ่งกำนันเล้น เป็นกำนันคนดังในจังหวัด และเป็นประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านอำเภอห้วยยอด หลักฐานสำคัญในตอนนั้น คือ ภาพจากกล้องวงจรปิด โดยคนร้ายใส่ชุดดำ สวมหมวกกันน็อกปิดบังใบหน้า บุกไปก่อเหตุหน้าบ้านกำนัน […]

“ไชยา” สั่งปิดประชุมดื้อๆ หนีถกญัตติด่วน MOU 43-44

รัฐสภา 21 ส.ค.- งงทั้งห้องประชุม! “ไชยา” สั่งปิดประชุมดื้อๆ หนีถกญัตติด่วน MOU 43 และ 44 ด้านประธานวิปรัฐบาลบอกไม่รู้เรื่อง ยันไม่ได้ส่งสัญญาณให้ปิดประชุม ขณะที่ “ไชยา” อ้างเป็นข้อตกลง 2 วิปขอปิดประชุมเอง การประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม ภายหลังจากการพิจารณากระทู้ถามสด และกระทู้ถามทั่วไป เสร็จสิ้นแล้ว จึงเข้าสู่วาระพิจารณารับทรารายงานการประชุม เรื่องรายงานประจำปี 2567 ของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยมีการตกลกระหว่างวิปรัฐบาลกับวิปฝ่ายแล้วว่า หลังจากจากเสร็จสิ้นวาระรับทราบการประชุมแล้ว จะเข้าสู่การประชุมลับ เพื่อพิจารณาญัตติด่วนเรื่องขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาบันทึกข้อตกลง MOU 43 และ 44 ของนายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย แต่ปรากฏว่าภายหลังที่ประชุมรับทราบรายงานการประชุมกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เสร็จเรียบร้อยแล้ว นายไชยากล่าวต่อที่ประชุมว่า ใช้เวลาการประชุมมาพอสมควรแล้ว และสั่งปิดประชุมดื้อๆ ในเวลา 14.59 น. สร้างความงุนงงให้กับสส. เพราะตกลงกันเรียบร้อยแล้วว่า จะพิจารณาญัตติด่วนเรื่อง MOU 43 […]

นายกฯ พกยาดม เข้าไต่สวนปมคลิปเสียง

ศาล รธน. 21 ส.ค.-“แพทองธาร” นายกฯ พกยาดม เข้าไต่สวนปมคลิปเสียง ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเวลา 11.34 น ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้กลับมาเผยแพร่โทรทัศน์วงจรปิดอีกครั้ง หลังจากไต่สวนนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พยานในคดีปมคลิปเสียงสนทนา ระหว่าง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เสร็จสิ้นโดยใช้เวลาไต่สวนนายฉัตรชัย ประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นได้เบิกตัวนางสาวแพทองธาร มาไต่สวนต่อ โดยเริ่มจากการกล่าวสาบานตน ก่อนให้การ ซึ่งเป็นที่สังเกตว่านางสาวแพทองธาร ได้พกยาดมสีเหลืองวางไว้ใกล้มือด้วย โดยหลังสาบานตนเสร็จก็ได้มีการตัดสัญญาณถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ อีกครั้ง.-319.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มือยิงถล่ม “กำนันเล้น” สารภาพแค้นส่วนตัว

ตรัง 22 ส.ค.- ตำรวจแถลงคดียิง “กำนันเล้น” แห่งตำบลนาวง จ.ตรัง ผู้ต้องหาสารภาพยิงถล่มจนตายเพราะแค้นส่วนตัว คุมตัวฝากขังศาล พร้อมค้านประกัน ที่ สภ.ห้วยยอด อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง ผู้ว่าราชการจังหวัด พร้อมตำรวจ ร่วมกันแถลงรายละเอียดผลการจับกุมนายธวัชชัย ผู้ต้องหาคดีฆ่านายบัณฑิต หรือ “กำนันเล้น” กำนันตำบลนาวง และประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านอำเภอห้วยยอด ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา การสืบสวนสอบสวนแกะรอยจนรู้ตัวผู้ก่อเหตุ คือ นายธวัชชัย จึงยื่นขอศาลออกหมายจับเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ในข้อหา”ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนโดยผิดกฎหมาย และพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต” จากการสืบสวนสอบสวนร่วมกันของตำรวจหลายหน่วยกระทั่งทราบแหล่งกบดาน จนนำไปสู่การจู่โจมจับกุมที่ห้องเช่าในพื้นที่ ตำบลศาลาด่าน อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ เมื่อวานนี้ (21 ส.ค.) โดยใช้เวลา 18 วันในการปิดคดี “ในชั้นจับกุม ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยมีสาเหตุมาจากความแค้นส่วนตัวที่สะสมจนถึงจุดแตกหักและลงมือก่อเหตุ” ขณะเดียวกันวันนี้ พนักงานสอบสวน ได้ควบคุมนำตัวนายธวัชชัย ส่งขออำนาจศาลจังหวัดตรัง ฝากขังผัดแรก พร้อมคัดค้านการประกันตัว โดยระหว่างคุมตัวลงมาขึ้นรถ […]

บุกจับปลัด อบจ. เรียกเงินผู้รับเหมา

22 ส.ค.- รวบคาโต๊ะทำงาน ตำรวจบุกจับปลัด อบจ.มุกดาหาร เรียกรับเงินผู้รับเหมา 7 โครงการ วงเงินกว่า 12 ล้านบาท แลกอนุมัติเบิกจ่ายงบฯ เจ้าหน้าที่บุกอ่านหมายจับ ว่าที่ร้อยเอก วัทธิกร ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดมุกดาหาร ตามหมายจับของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4 ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ใช้อำนาจในตำแหน่ง โดยมิชอบ, ข่มขืนใจ บุคคลใดมอบให้ ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเอง  และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 และมาตรา 157 เป็นการเข้าทำการตรวจค้น จับกุมที่ห้องทำงานปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดมุกดาหาร  ก่อนหน้านี้ ผู้รับเหมาเข้าร้องเรียนกับ สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4  ว่า ในระหว่างที่ผู้ถูกกล่าวหาอยู่ในตำแหน่งปลัด อบจ.มุกดาหาร ปฏิบัติหน้าที่นายก อบจ.มุกดาหาร ระหว่างนั้น ผู้เสียหายได้เข้าเป็นคู่สัญญา รับจ้างในโครงการปรับปรุงถนนลาดยางผิวทางแอสฟัลท์ติกคอนกรีตฯ 1 โครงการ วงเงินงบประมาณ 9,780,000 บาท โครงการเสริมผิวทางแอสฟัลท์ติกคอน กรีตฯ จำนวน 6 โครงการ วงเงินงบประมาณ […]

ผบ.ทอ. บินสวีเดน ลงนามจัดซื้อ “กริพเพน” 25 ส.ค.นี้

22 ส.ค.- กองทัพไทยเพิ่มแสนยานุภาพ เสริมความแข็งแกร่ง ลงนามจัดซื้อ “กริพเพน” กับสวีเดน อย่างเป็นทางการ 25 สิงหาคมนี้ การลงนามครั้งนี้ นำโดย พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ จะลงนามกับบริษัท SAAB AB ที่ประเทศสวีเดน ในวันที่ 25 สิงหาคมนี้ ตามมติ คณะรัฐมนตรี ที่อนุมัติหลักการโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตี Gripen E/F ระยะที่ 1 จำนวน 4 เครื่อง ( วงเงิน 19,500 ล้านบาท ) การจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทนครั้งนี้ ไม่เพียงเพิ่มขีดความสามารถด้านความมั่นคงทางทหาร ในการเสริมศักยภาพป้องกันประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของคนไทยทุกคน และยังเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาประเทศในด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และเทคโนโลยี ในการลงนามจัดซื้อ “กริพเพน” 25 สิงหาคมนี้ ทางประเทศสวีเดน จะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสวีเดน เข้าร่วมในฐานะสักขีพยาน “มาริษ” ร่วมเป็นสักขีพยานจัดซื้อ “กริพเพน” […]

IOT ลุยบ้านหนองจาน สำรวจหมู่บ้านเขมรรุกล้ำอธิปไตยไทย

22 ส.ค.- IOT ลงพื้นที่บ้านหนองจาน สำรวจหมู่บ้านกัมพูชาปลูกรุกล้ำอธิปไตยไทย ชาวบ้านบอกแค้นใจ โดนเขมรยึดแผ่นดิน เมื่อเวลา 16.00 น. ที่ ต.หนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว กองทัพไทยนำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) 8 ประเทศ ลงพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ตรวจสอบข้อเท็จจริงถึงการรุกล้ำอธิปไตยแผ่นดินไทยของกัมพูชา และรายงานถึงหลักเขตที่ 46 – 48 ที่อยู่ด้านในพื้นที่ พร้อมรับทราบมาตรการควบคุมและป้องกันการกระทำผิดกฎหมายข้ามชาติ เช่น อาชญากรรมออนไลน์ และการลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ทันทีที่คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว เดินสำรวจพื้นที่ ได้พบกับหมู่บ้านขนาดเล็ก พร้อมซากอาคาร บ้านเรือน และโรงงานที่ชาวกำพูชาได้ลักลอบมาสร้างไว้กว่า 200 ครอบครัว โดยก่อนหน้านั้นทหารได้ผลักดันให้ออกนอกพื้นที่โดยไม่ได้มีการใช้อาวุธแต่อย่างใด หลังจากดำเนินการเรียบร้อยแล้วได้มีการนำสแลน และวางแนวรั้วลวดหนาม เพื่อเป็นแนวป้องกัน ไม่ใช่การวางเพื่อกำหนดเส้นเขตแดน ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ช่วงที่คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว และสื่อมวลชนลงพื้นที่ มีชาวกัมพูชาพยายามที่จะมาแอบดูตามแนวปิดกั้น ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารต้องขอความร่วมมือไม่ให้เข้าไปใกล้ในบริเวณดังกล่าวมากจนเกินไป -สำนักข่าวไทย