กรุงเทพ 25 ส.ค.- “สุรพงษ์” สั่งการเร่งระดมความช่วยเหลือ 3 ผู้สูญหาย จากเหตุดินทรุดตัวภายในอุโมงค์รถไฟคลองไผ่อย่างเร่งด่วน พร้อมเร่งตรวจสอบสาเหตุ
เมื่อเวลา 23.40 น. ของคืนวันที่ 24 สิงหาคม 2567 เกิดเหตุดินทรุดตัวภายในอุโมงค์รถไฟคลองไผ่ ช่วงคลองขนานจิต ต.จันทึก อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นอุโมงค์ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพ – นครราชสีมา สัญญา 3-2 งานก่อสร้างอุโมงค์มวกเหล็กและลำตะคอง เป็นเหตุให้มีคนงานที่กำลังปฏิบัติงานขุดเจาะอุโมงค์ ติดอยู่ภายใน 3 ราย นั้น
นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ หัวหน้าสำนักงานผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ภายหลังเกิดเหตุดังกล่าว นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่การรถไฟฯ เร่งระดมทำการขุดดินเพื่อเข้าไปให้การช่วยเหลือคนงานที่ติดอยู่ภายในอุโมงค์อย่างเร่งด่วนที่สุด โดยให้คำนึงถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติงานเป็นสำคัญ และให้ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิดเพื่อตรวจสอบประเมินถึงสาเหตุของการเกิดเหตุในครั้งนี้
จากการตรวจสอบในเบื้องต้น พบว่า อุโมงค์รถไฟคลองไผ่ดำเนินการขุดอุโมงค์เกือบจะแล้วเสร็จ โดยในปัจจุบันได้ขุดเจาะอุโมงค์ได้ความยาวประมาณ 4,100 เมตร ภายในอุโมงค์ในระหว่างการก่อสร้างมีการทำผนังอุโมงค์ไว้ตลอดแนว โดยบริเวณที่เกิดเหตุชั้นหินและดินทรุดตัวภายในอุโมงค์ ความยาวประมาณ 10–30 เมตร อยู่ระหว่างขั้นตอนการทำผนังอุโมงค์ ซึ่งในขณะนี้ การรถไฟฯ ได้เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือคนงานที่ติดอยู่ภายใน จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย
- นายหูเสียงหมิ่น เพศชาย สัญชาติจีน (ผู้ควบคุมงาน)
- นายตงชิ่นหลิน เพศชาย สัญชาติจีน (ขับแม็คโคร)
- เพศชาย ไม่ทราบชื่อ (ผู้ขับรถบรรทุก) อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง
นอกจากนี้ ยังสั่งการให้เจ้าที่รถไฟที่เกี่ยวข้องทำการประเมินติดตามสถานการณ์โครงการก่อสร้างรถไฟแห่งอื่นที่กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้างทุกโครงการโดยเฉพาะที่อยู่ในพื้นที่ที่มีฝนตกหนัก หรือมีความเสี่ยงเผชิญเหตุน้ำท่วม ดินสไลด์ น้ำป่าไหลหลาก อย่างใกล้ชิด และให้ยึดถือการปฏิบัติงานตามคู่มือมาตรฐานความปลอดภัยเป็นสำคัญ
ท้ายนี้ นายสุรพงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้กำชับให้ทุกฝ่ายเพิ่มมาตรการดูแลความปลอดภัยเกี่ยวกับการก่อสร้างในทุกโครงการอย่างเข้มงวด โดยให้คำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของผู้ปฏิบัติงาน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวซ้ำอีก.-513-สำนักข่าวไทย