กรุงเทพฯ 17 มิ.ย. – กระทรวงพลังงาน ชี้แผน PDP 2024 มุ่งเสถียรภาพระบบไฟฟ้าเพิ่มพลังงานหมุนเวียน ตอบโจทย์ลดคาร์บอน ก๊าซธรรมชาติยังเป็นพลังงานหลัก แผนยังไม่นิ่ง ค่าเฉลี่ย 3.80 บาทต่อหน่วย ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย พร้อมรับฟังทุกภาคส่วน นักวิเคราะห์ชี้ ผีซ้ำด้ามพลอย หุ้นไฟฟ้าถูกสอยร่วงระนาว
จากที่หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าร่วงต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว นักวิเคราะห์ ชี้เกิดจากร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (พีดีพี 2024) ที่กระทบธุรกิจไฟฟ้า นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่าปัจจุบันกระทรวงพลังงานยังอยู่ในระหว่างจัดทำแผน โดยรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ก่อนจะนำความเห็นทั้งหมดมาพิจารณาปรับปรุงเป็นแผนพีดีพี 2024 ฉบับสมบูรณ์ และเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาต่อไป
ทั้งนี้การจัดทำแผนพีดีพี 2024 นอกจากตอบโจทย์เรื่องความมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศแล้ว ยังมุ่งเน้นตอบโจทย์ในเรื่องการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และลดก๊าซเรือนกระจก โดยมีเป้าหมายในการเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2608 รวมทั้งพิจารณาถึงเป้าหมาย 40% ของแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศปี 2564 – 2573
(Thailand’s Nationally Determined Contribution Roadmap on Mitigation 2021 – 2030 : NDC) โดยแผนพีดีพี 2024 ที่จะประกาศใช้จะกำหนดให้มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นและเร็วขึ้น เช่น เร่งโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ใหม่จากเดิมที่กำหนดให้เข้าระบบรวม 24,000 เมกะวัตต์ หลังปี 2573 ให้เร็วขึ้น เป็นให้มีโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ใหม่เข้าระบบ 10,000 เมกะวัตต์แรกก่อนปี 2573 ส่วนที่เหลืออีก 14,000 เมกะวัตต์ จะเข้าระบบหลังปี 2573 เป็นต้นไป นอกจากสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้นยังช่วยให้ค่าไฟฟ้าของไทยมีราคาคงที่ไม่ผันผวน เนื่องจากไม่มีปัจจัยความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงตามตลาดโลก การเพิ่มขึ้นของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสดงอาทิตย์จึงไม่ส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าในอนาคต
![](https://tna.mcot.net/wp-content/uploads/2024/06/17/1379785/1718614771_676494-tnamcot.jpg)
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า แผนพีดีพี 2024 ยังพิจารณาปัจจัยสำคัญอื่นๆ ได้แก่ โอกาสการเกิดไฟฟ้าดับ โดยพิจารณาจากเกณฑ์ “แอลโอแอลอี” โดยมีมาตรฐานว่าไฟฟ้าจะดับได้ไม่เกิน 0.7 วันต่อปี หมายความว่าแม้จะส่งเสริมให้มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น แต่กระทรวงพลังงานก็ยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องของเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าด้วย โดยการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติยังถือว่าป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าของประเทศ
“แผนพีดีพี 2024 แม้จะมุ่งเน้นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น แต่ก๊าซธรรมชาติยังคงเป็นเชื้อเพลิงหลัก ส่วนกระแสข่าวที่ว่าค่าไฟฟ้าเฉลี่ยตลอดแผนพีดีพี 2024 จะอยู่ที่ 3.80 บาทต่อหน่วยนั้น ในเรื่องนี้ยังไม่สามารถที่จะสรุป เนื่องจากในส่วนของการคำนวณค่าไฟฟ้านั้นยังจะต้องมีการรวมหนี้ภาระค่าไฟคงค้างประมาณ 1 แสนล้านบาท ที่จะทยอยคืนให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ประมาณ 30 สตางค์ต่อหน่วยผ่าน Ft ด้วย จึงขอให้รอการประกาศค่าไฟฟ้าในแต่ละงวดที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะเป็นผู้ประกาศให้ได้ทราบเป็นระยะ ๆ” ปลัดกระทรวงพลังงาน ระบุ
นายสุวัฒน์ สินสาฎก รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจหลักทรัพย์ลูกค้าสถาบัน บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) เขียนบทความ “ถอดความเสี่ยงและโอกาสของ PDP 2024 ผีซ้ำด้ามพลอย หุ้นไฟฟ้าถูกสอยร่วงระนาว” เพราะเกิดอาการหวาดผวาของนักลงทุนจากการที่ภาครัฐเปิดเผยผลร่างแผนพัฒนาไฟฟ้าฉบับใหม่ (PDP 2024) ที่มีสาระสำคัญคือ โอกาสเติบโตของโรงไฟฟ้า SPP และ IPP มีน้อยมากตามแผน PDP 2024 ตามแผน มีเพียง 6,900MW กำลังผลิตไฟฟ้าใหม่จากฟอสซิล ที่จะเพิ่มเข้ามาในช่วงปี 2024-2037 เทียบกับ 39,700MW กำลังผลิตใหม่จากพลังงานทดแทน และ 13,000MW จากโรงไฟฟ้าพลังน้ำและแบตเตอรี่ นั่นหมายถึง โรงไฟฟ้าก๊าซ เช่น Small Power Producer (SPP) ที่เน้นการผลิตไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพสูงป้อนให้โรงงานภาคเอกชนต่าง ๆ ที่ตั้งในนิคมอุตสาหกรรมมากมายในไทย เช่นมาบตาพุด จะไม่มีการต่ออายุหรือเพิ่มกำลังผลิตอีกต่อไป อีกทั้งโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ Independent Power Producer (IPP) ที่มีขนาดเกิน 150MW ขึ้นไป แทบจะไม่มีกำลังผลิตใหม่เข้ามาในระบบเลยอีก 13 ปีข้างหน้า
คาดว่าค่าไฟฟ้ามีราคาต่ำลงมาก โดยมีค่าไฟเฉลี่ยเพียง 3.87บาท/หน่วย ตลอด 13 ปี ข้างหน้า (2024-37) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยค่าไฟ 3.95บาท/หน่วย ในแผน PDP 2018 ฉบับแก้ไขครั้งที่ 1 โดยแม้ราคาค่าไฟที่ต่ำ จะดีต่อภาคประชาชน หากแต่ราคาค่าใหม่เป็นราคาค่าไฟที่ต่ำมาก และในแผน PDP 2024 มีการคาดการณ์ว่า กำลังผลิตจากพลังงานทดแทนจะพุ่งสูงขึ้นจาก 15,760MW ในปี 2024 เป็น 81,938MW ในปี 2037 หรือเพิ่มขึ้นถึง 5.2 เท่าจากปัจจุบัน ภาพดังกล่าวอาจทำให้ภาคเอกชนทั้ง SPPs และ IPPs หรือแม้แต่ผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานแดดและลม ประสบปัญหาในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่มีคุณภาพและแน่นอน เพื่อป้อนให้อุตสาหกรรม ไฮเทคต่าง ๆ ที่ไทยกำลังพยายามแข่งขันกับมาเลเซีย เวียดนามเพื่อดึงดูด FDI มาสู่ไทย. -511-สำนักข่าวไทย