กรุงเทพ 16 พ.ค.-การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) จัดพิธีวันคล้ายวันสถาปนา กทท. ครบรอบ 73 ปี มอบเงินบริจาคโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ 36 ล้านบาท แจงผลประกอบการกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.34 เดินหน้าสานต่อนโยบายท่าเรือสีเขียวเพื่อความยั่งยืน ส่วนการย้ายท่าเรือคลองเตย “สุริยะ”จะเรียกประชุมภายในเดือนนี้
นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีวันคล้ายวันสถาปนา กทท. ครบรอบ 73 ปี โดย กทท.ได้มอบเงินสนับสนุนจัดหารถหน่วยคัดกรองมะเร็งนรีเวช มอบให้แก่มูลนิธิกาญจนบารมี จำนวน 36,720,400 บาท เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 เพื่อช่วยเหลือสตรีกลุ่มเสี่ยงผู้ด้อยโอกาสในถิ่นทุรกันดารให้สามารถตรวจคัดกรองมะเร็งทางนรีเวช ได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยมีดร.นายแพทย์สมยศ ดีรัศมี ประธานมูลนิธิกาญจนบารมี เป็นผู้รับมอบฯ ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็น 1 ใน 9 โครงการเฉลิมพระเกียรติของกระทรวงคมนาคมในนามรัฐบาล นอกจากนี้ กทท. ได้มอบเงินสนับสนุนกิจกรรมสาธารณกุศล ให้แก่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชกระนวน จำนวน 1,500,000 บาท วัดดอนทรายและโรงเรียนวัดดอนทราย สมาคมคาทอลิกแห่งประเทศไทย มัสยิดอิดารุลมีนา ชมรมผู้สูงอายุ กทท. และสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ กทท. หน่วยงานละ 300,000 บาท รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 3,000,000 บาท
นางมนพร กล่าวว่า กทท. ถือเป็นองค์กรสำคัญที่ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศด้วยการเพิ่มศักยภาพการให้บริการด้านโลจิสติกส์ที่เป็นเลิศ โดยใช้เทคโนโลยีส่งเสริมการให้บริการเพื่อลดขั้นตอน ลดระยะเวลา ลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ ควบคู่กับการให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมมุ่งสู่ท่าเรือสีเขียว ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) จากกิจกรรมท่าเรือ โดยติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาโรงพักสินค้าและอาคารในพื้นที่ท่าเรือกรุงเทพ ส่งเสริมการใช้รถยกไฟฟ้า EV สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดทดแทน ลดมลพิษปัญหาฝุ่นละอองในบริเวณพื้นที่
ในส่วนของการยกระดับการให้บริการและการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ กทท. มีนโยบายพัฒนาท่าเรือกรุงเทพพัฒนาเป็น HUB ที่สำคัญของประเทศ โดยส่งเสริมให้ท่าเรือกรุงเทพเป็นศูนย์กลางการให้บริการร่วมกับท่าเรือเอกชนในแม่น้ำเจ้าพระยา (Chaophraya Super Port) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและเป็นศูนย์กลางการพัฒนาด้านโลจิสติกส์ร่วมกับภาคเอกชน อีกทั้งยังดำเนินโครงการเขตปลอดอากร (Bangkok Port Free Zone) สร้างมูลค่าเพิ่มจากธุรกิจและกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า คาดว่าจะมีรายได้จากการดำเนินการ 6-7 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ได้มีแผนในการขยายขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้า คลังสินค้า และศูนย์กระจายสินค้าในอนาคต ได้แก่ โครงการพัฒนาท่าเรือฝั่งตะวันตกเป็นท่าเรือกึ่งอัตโนมัติ (Semi Automated Container Terminal) และโครงการพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าและศูนย์เชื่อมโยงการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transport & Distribution Center)
สำหรับโครงการที่ยังต้องสานต่ออีกหลายโครงการตามนโยบายการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Seamless Transport) ประกอบด้วย โครงการพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) จังหวัดขอนแก่น เพื่อให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค ลดปัญหาความแออัดจากการขนส่งบริเวณท่าเรือ รองรับการเติบโตด้านการขนส่งสินค้าผ่านทางเรือชายฝั่งและทางรถไฟที่จะเกิดขึ้นจากโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังในอนาคต รวมทั้งโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ (SRTO) ที่ท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 2 ควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาจราจรในพื้นที่ท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบัง ในโครงการพัฒนาเส้นทางเชื่อมต่อท่าเรือกรุงเทพและทางพิเศษสายบางนา-อาจณรงค์ (S1) เพื่อให้รถบรรทุกสินค้าสามารถระบายออกสู่ทางพิเศษอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว และโครงการพัฒนาพื้นที่ลานจอดรถบรรทุก (Truck Parking) และการจองคิวรถบรรทุกด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Truck Queuing) ที่ท่าเรือแหลมฉบัง
ส่วนความคืบหน้าของโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ส่วนที่ 1 งานก่อสร้างทางทะเล ขณะนี้มีผลการดำเนินการสะสม ณ เดือนเมษายน 2567 คิดเป็น 27.25% ส่วนที่ 2 งานก่อสร้างอาคาร ท่าเทียบเรือ ระบบถนน และระบบสาธารณูปโภค ปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการตามระเบียบปฏิบัติเพื่อลงนามในสัญญาต่อไป ในส่วนที่ 3 งานก่อสร้างระบบรถไฟและส่วนที่ 4 งานจ้างเหมาสร้างเครื่องจักรฯ อยู่ระหว่างการสรรหาผู้รับจ้างเพื่อจัดทำเอกสารประกวดราคา อย่างไรก็ตาม กทท. ได้ติดตามเร่งรัดผู้รับจ้างให้ดำเนินการตามแผนงานอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้กระทบงานส่วนอื่น และส่งมอบแล้วเสร็จทั้งโครงการฯ ได้ตามกรอบระยะเวลาของสัญญา
ทั้งนี้ กทท. ยังมีแนวทางในการพัฒนาท่าเรือภูมิภาคในส่วนของท่าเรือระนอง โดยพัฒนาศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการและสิ่งอำนวยความสะดวกของท่าเทียบเรือ เพื่อส่งเสริมกิจกรรมขนส่งชายฝั่งอันดามัน กลุ่ม BIMSTEC สนับสนุนแลนบริดจ์ และเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจพื้นที่ภาคใต้ สำหรับท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน กทท. ได้ดำเนินโครงการส่งเสริมการส่งออกสัตว์ปศุสัตว์ที่เป็นการสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ประชาชนและเกษตรกรที่อยู่บริเวณพื้นที่โดยรอบท่าเรือและอำเภอเชียงแสนตามนโยบายของรัฐบาล คาดว่าจะส่งผลให้ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนมีรายได้จากการดำเนินโครงการฯ เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 10 ล้านบาท
ทั้งนี้กทท. มีส่วนแบ่งการตลาดโดยรวมร้อยละ 85.21 โดยหากพิจารณาตามประเภทของท่าเรือ พบว่า ธุรกิจ Deep Sea Port มีส่วนแบ่งการตลาดคิดเป็นร้อยละ 86.34 และธุรกิจ River Port ร้อยละ 78.20 ด้านผลประกอบการในช่วงระยะเวลา 6 เดือนของปีงบประมาณ 2566 (ตุลาคม 2566 – มีนาคม 2567) มีเรือเทียบท่าที่ท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบัง รวม 7,230 เที่ยว เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.36 สินค้าผ่านท่า 58.69 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.85 และตู้สินค้าผ่านท่า 5.28 ล้าน ที.อี.ยู. เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.77 มีรายได้สุทธิ 8,607 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.97 กำไรสุทธิ 4,238 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.34 เทียบกับปีก่อนหน้า
นางมนพร กล่าวถึงการย้ายท่าเรือกรุงเทพ(คลองเตย)ด้วยว่า จะเป็นการพัฒนาที่ไม่ได้ย้ายทั้งหมด เพราะท่าเรือคลองเตยมีพื้นที่กว่า 2,300 ไร่ ต้องนำแผนแม่บทที่เคยศึกษามาแล้วมาพิจารณาอีกครั้ง คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน โดยภายในเดือนนี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จะเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เนื่องจากจะมีผู้ได้รับผลกระทบจำนวนมากรวมทั้งชาวชุมชนท่าเรือคลองเตยที่มีประชากรมากถึง 13,000 ครัวเรือน ดังนั้นต้องฟังเสียงของประชาชนในพื้นที่นี้ด้วย รวมทั้งจะมีโครงการปรับปรุงตลาดคลองเตยให้มีความทันสมัยรองรับการเติบโตในอนาคตเพราะปัจจุบันตลาดคลองเตยค่อนข้างจะแออัด มักจะมีปัญหาเรื่องที่จอดรถซึ่งจะต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น/สำนักข่าวไทย-513