กรุงเทพฯ 15 พ.ย.-บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป ประกาศผลประกอบการแข็งแกร่งในไตรมาสที่ 3 ปี 2566 มีกำไรสุทธิ 2,373 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 704% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ดันกำไรสุทธิ งวด 9 เดือนแรกของปีนี้เป็น 5,855 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 99% ลุยปิดดีลใหญ่ “พอร์ตโฟลิโอโรงไฟฟ้าคัมแพซ” สหรัฐอเมริกาพร้อมเดินหน้าแสวงหาโอกาส M&A โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติและพลังงานสะอาด รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินงานใน ไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 เอ็กโก กรุ๊ป ได้สร้างการเติบโตทางธุรกิจควบคู่กับการบริหารการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าที่อยู่ในพอร์ตโฟลิโอและต้นทุนเชื้อเพลิงอย่างเหมาะสม ส่งผลให้การดำเนินงานในปัจจุบันไม่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากปัจจัยความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลก ซึ่งกดดันต้นทุนเชื้อเพลิงและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ สำหรับความก้าวหน้าทางธุรกิจที่สำคัญในไตรมาสที่ 3 จนถึงปัจจุบัน ได้แก่ การลงนามเพื่อซื้อหุ้นในสัดส่วน 50% ในพอร์ตโฟลิโอโรงไฟฟ้าคัมแพซ สหรัฐอเมริกา กำลังผลิตรวม 1,304 เมกะวัตต์ การเปิดให้บริการระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ทีพีเอ็น) เต็มรูปแบบ และความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (หุ้นกู้กรีนบอนด์) มูลค่า 7,000 ล้านบาท
ผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2566 เอ็กโก กรุ๊ป มีรายได้รวมทั้งสิ้น 13,910 ล้านบาท โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน3,343 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากโรงไฟฟ้าพาจูอีเอส เกาหลีใต้ ที่มีปริมาณการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นและต้นทุนขายลดลง โรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน สหรัฐอเมริกา ที่มีปริมาณการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นและมีอัตราค่าไฟฟ้าต่อหน่วยเพิ่มขึ้น รวมทั้งโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 สปป.ลาว ที่มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น ในขณะที่บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,373 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 704% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการรับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงลดลง
สำหรับการดำเนินงานที่สำคัญในอนาคตอันใกล้ของเอ็กโก กรุ๊ป ได้แก่ การปิดดีลการซื้อหุ้นพอร์ตโฟลิโอโรงไฟฟ้าคัมแพซ สหรัฐอเมริกา กำลังผลิตรวม 1,304 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2566 การผลักดันโครงการโรงไฟฟ้าเอ็กโก โคเจนเนอเรชั่น (ส่วนขยาย) จ.ระยอง กำลังผลิต 74 เมกะวัตต์ ที่มีความคืบหน้ากว่า 90% ให้สามารถเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ตามกำหนด ในขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งหยุนหลิน ไต้หวัน กำลังผลิต640 เมกะวัตต์ มีความคืบหน้าในการก่อสร้างได้ตามแผนงาน และสามารถขจัดความท้าทายต่าง ๆ ไปได้ด้วยดี โดยทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว 264 เมกะวัตต์ ซึ่งมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าได้ดีกว่าเป้าหมาย โดยคาดว่าโครงการทั้งหมดจะแล้วเสร็จตามกำหนด ภายในปี 2567
“เอ็กโก กรุ๊ป มุ่งมั่นแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าและธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง โดยขับเคลื่อนภายใต้กลยุทธ์ระยะสั้น “4S” ที่เน้นการสร้างรายได้อย่างรวดเร็วและเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเลือกลงทุนในโครงการที่มีคุณภาพสูง (Select high quality projects) ในรูปแบบ M&A ทั้งโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลัก (Conventional) อย่างก๊าซธรรมชาติ และพลังงานหมุนเวียน (Renewable) เพื่อรับรู้รายได้ทันที โดยมีความได้เปรียบจากการมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งใน 8 ประเทศ ที่มีฐานทางธุรกิจอยู่แล้ว ในขณะเดียวกันยังได้วางแผนการลงทุนในธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตอย่างซัพพลายเชนไฮโดรเจนที่มีศักยภาพรองรับการเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานสีเขียว ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งในการ บรรลุเป้าหมายการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 (2050)” นายเทพรัตน์ กล่าว
ปัจจุบันเอ็กโก กรุ๊ป มีกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 7,023 เมกะวัตต์ (รวมโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วและโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) โดยมีกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนรวม 1,418 เมกะวัตต์ (คิดเป็นสัดส่วน 20% ของกำลังผลิตทั้งหมด) ทั้งจากชีวมวล พลังน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม เซลล์เชื้อเพลิง และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าและโครงการต่างๆ ตั้งอยู่ใน 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาวฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องได้แก่ ระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “ทีพีเอ็น” โครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม “เอ็กโกระยอง” บริษัทเทคโนโลยีด้านการเงิน “เพียร์ พาวเวอร์” บริษัทด้านการวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรม “อินโนพาวเวอร์” .-สำนักข่าวไทย