กรุงเทพฯ 10 ต.ค. – สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง หนุน “ดิจิทัลวอลเล็ต” กระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่เห็นด้วยพิสูจน์รวย-จน ห่วงเงินไหลออกหากซื้อสินค้านำเข้าได้ หวั่นขาดดุลบัญชีเดินสะพัด-ดุลการคลัง
นายสุวิทย์ สรรพวิทยศิริ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง กล่าวถึงถึงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ว่าเป็นนโยบายที่เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศได้ เนื่องจากจีดีพีเฉลี่ยของไทยอยู่ในระดับ 2% มานานถึง 9 ปี กระจายไปไม่ถึงกลุ่มคนชั้นล่าง ตัวเลขหนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่สภาพัฒน์ประกาศตัวเลขไตรมาสล่าสุด จีดีพีขยายตัว 1.8% ถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมาก รวมทั้งหลายสำนักได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจเหลือไม่ถึง 3%
ขณะที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ 30 ล้านคน จึงจำเป็นต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เพื่อให้เกิดแรงกระเพื่อมที่ใหญ่พอที่จะให้บรรยากาศการค้าการลงทุนกลับมา ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในระดับโลกว่าทิศทางของเศรษฐกิจไทยจะไม่ย่ำอยู่กับที่ จะก้าวกระโดด ดังนั้น การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งจำเป็น แต่นั่นเป็นมาตรการในระยะยาว ส่วนมาตรการในระยะสั้นมองว่านโยบายดิจิทัลวอลเล็ตจะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ซึ่งเมื่ออยู่ในรูปแบบคูปองดิจิทัล รัฐจะต้องระบุบนคูปองชัดเจนว่าต้องใช้ภาย 6 เดือน เมื่อเกิดใช้จ่ายครั้งแรกจากคูปองดิจิทัลจะกลายเป็นเงินจริงๆ ที่เข้าไปอยู่ในระบบ สามารถนำไปใช้จ่ายต่อในรอบที่ 2-3 ได้ ไม่หมดอายุ เป็นส่วนหนึ่งทำให้เงินหมุนในระบบ เช่น กำหนดให้ใช้จ่ายได้กับร้านค้าที่เข้าระบบภาษี ซึ่งก็จูงใจให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กกลับเข้าสู่ระบบอีกครั้ง กระตุ้นให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลจะได้รับกลับคืนมาในรูปแบบของภาษี และควรจ่ายครั้งเดียว 10,000 บาท ไม่ควรแบ่งจ่ายเป็นงวด เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย เชื่อว่าผู้ประกอบการร้านค้าต่างๆ จะมีการทำโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นให้คนเอาเงินหมื่นมาใช้ ส่วนตัวมองว่าบล็อกเชนจะอยู่ในขั้นตอนการแจกเท่านั้น หลังจากนั้นจะกลายเป็นเงินที่ทำหน้าที่ตามปกติ นอกจากจะกลายเป็น Big data แล้ว ยังทำให้เกิดการเงินหมุนในระบบมากกว่า 1.1 เท่า แน่นอน
ส่วนเรื่องเงื่อนไข เชื่อว่ารัฐจะพยายามผ่อนปรนให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องกำหนดระยะทาง 4 กิโลเมตร หรือเพิ่มเป็น 8 กิโลเมตร หรือเพิ่มเป็นตำบล เพราะไม่ใช่เรื่องยากในการปรับเปลี่ยน หรือประเด็นเรื่องการย้ายทะเบียนบ้าน อาจมีเงื่อนไขว่าถ้ายืนยันได้ว่ามีที่ทำงานประจำ มีนายจ้ารับรอง ก็สามารถนำมาใช้ในรัศมีบริเวณที่ทำงานได้
สำหรับการได้รับสิทธิ มองว่าคนไทยทุกคนที่อายุเกิน 16 ปี ควรได้รับสิทธินี้ รวมถึงไม่ควรใช้วิธีการพิสูจน์ความรวยความจน ที่ใช้วิธีกำหนดจากรายได้และอัตราการเสียภาษี เนื่องจากแม้บางคนมีรายได้มากแต่ก็มีหนี้สินมากเช่นกัน หักลบแล้วอาจจะเหลือน้อยกว่าคนที่มีรายได้น้อยก็ได้ ซึ่งตามข้อมูลมีคนรวยในประเทศไทยคิดเป็นอัตราส่วนเพียง 1% เท่านั้น จึงไม่คุ้มกับการพิสูจน์ความรวย เนื่องจากมาตรการนี้เกิดขึ้นไม่ใช่เพื่อการเยียวยาแต่เป็นการใช้คน เครื่องมือในการวัดในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
“อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นห่วงคือเมื่อเงินเข้ามาเยอะ ก็จะกระฉอกเยอะเช่นกัน เช่น หากนำเงินดิจิทัลไปซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเฉพาะสินค้าจีนที่ตอนนี้กำลังระบาดเข้ามาในไทยเป็นจำนวนมากก็จะทำให้การนำเข้าเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้า นั่นจะทำให้ทั้งขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และขาดดุลการคลังไปในคราวเดียวกัน และหากมูลค่าสูงมากจะส่งผลเงินบาทอ่อนค่าลงไปอีก และจะทำให้ดอกเบี้ยในระบบเศรษฐกิจสูงขึ้น ยิ่งส่งผลเสียทั้งต่อภาครัฐและหนี้ครัวเรือน จึงต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ”.-สำนักข่าวไทย