กกร.ฟันธงเศรษฐกิจไทยปีนี้โตแค่ 3.0%

กรุงเทพฯ 4 ต.ค.-กกร.ระบุเศรษฐกิจในปีนี้ขยายตัวได้ในกรอบ 2.5 – 3.0% จากคาดมาตรการวีซ่าฟรีของภาครัฐจะช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวในช่วง high season พร้อมประเมินปี 67 ผลกระทบจ่ากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจจีนที่ไม่ต่อฉุดเศรษฐกิจไทยอาจโตได้เพียง 2.7 เท่านั้น พร้อมเสนอแนสทางกระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อของประชาชน โดยเฉพาะโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 5.6 แสนล้านบาท แต่ควรจำกัดเฉพาะกลุ่มและจำกัดพื้นที่การใช้เพื่อก่อให้เกิดผลทางเศรษฐกิจ


นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยในฐานะประธาน กกร.กล่าวภายหลังเป็นประธานประชุม คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน  (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย โดย กกร.ได้จัดประชุมคณะกรรมการประจำเดือนตุลาคม 2566 โดยมี นายทวี ปิยะพัฒนา รองประธานอาวุโสสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เป็นประธานร่วมในการประะชุม  โดยที่ประชุม กกร. ได้ประเมินเศรษฐกิจ ดังนี้

เศรษฐกิจโลกชะลอตัวต่อเนื่องและมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด เศรษฐกิจโลกมีความผกผันและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ล่าสุด OECD ประเมินว่า GDP ของโลก จะเติบโตเพียงประมาณ 3.0% ในปี 2566 และเพียง 2.7% ในปี 2567 โดยที่ปัญหาทางเศรษฐกิจของจีนจะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อประเทศในภูมิภาคเอเชีย ด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปมีแนวโน้มยังอยู่ในทิศทางชะลอตัวสะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อทั้งภาคบริการและภาคการผลิต ส่งผลให้การส่งออกไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้เผชิญความเสี่ยงจากอุปสงค์ต่างประเทศที่ฟื้นตัวได้ช้า


ค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ ค่าเงินบาทอ่อนค่าตามทิศทางเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าเนื่องจากเฟดมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับสูงที่นานกว่าคาด ประกอบกับเศรษฐกิจจีนที่แผ่วลงในช่วงนี้ส่งผลให้ค่าเงินหยวนและค่าเงินอื่นๆ ในภูมิภาคเอเซียอ่อนค่าต่อเนื่อง ขณะที่ค่าเงินบาทยังมีปัจจัยภายในประเทศจากความกังวลในการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก และมีการขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้น ทั้งนี้แม้ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าค่อนข้างเร็วในเดือนกันยายน แต่โดยรวมยังสอดคล้องกับค่าเงินในภูมิภาคในช่วง 9 เดือนแรกของปี

เศรษฐกิจในปีนี้ขยายตัวได้ในกรอบ 2.5 – 3.0% คาดว่ามาตรการวีซ่าฟรีของภาครัฐจะช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวในช่วง high season โดยจะมีส่วนช่วยให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นราว 3.4 แสนคน ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มแตะระดับ 29 – 30 ล้านคนในปีนี้ ภายใต้การบริหารจัดการเรื่องความปลอดภัยและเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงที่กำลังเข้าสู่ฤดูการท่องเที่ยว อย่างไรก็ดียังต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (เอลนีโญ) ที่จะมีผลกระทบต่อภาคการเกษตร รวมถึงราคาพลังงานในตลาดโลกที่มีทิศทางสูงขึ้นซึ่งอาจจะมีผลต่อราคาพลังงานในประเทศหลังจากช่วงการลดราคาตามนโยบายของรัฐสิ้นสุดลง

ทั้งนี้ ที่ประชุม กกร. ยังจะได้จัดเตรียมข้อเสนอทางเศรษฐกิจไปยังรัฐบาลชุดใหม่ และขอให้มีการรื้อฟื้นการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.กลาง) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยเสนอให้รัฐบาลจัดประชุมทุก ๆ 3 เดือน เพื่อเป็นเวทีนำเสนอความเห็นและแนวทางการขับเคลื่อนระหว่างรัฐบาลกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด และเร่งดำเนินการแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน (Regulatory Guillotine) โดยจัดลำดับความสำคัญ เพื่อให้มีผลสัมฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว  


นอกจากนี้ กกร. ยังมีการหารือในประเด็นสำคัญเพิ่มเติม ได้แก่

1. การช่วยเหลือ SME ให้เข้าถึงสินเชื่อมีความจำเป็นมากกว่าการพักชำระหนี้ เนื่องจาก SME ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ยังฟื้นตัวได้ช้าและยังเข้าถึงสินเชื่อได้ไม่เต็มที่ เห็นได้จากยอดสินเชื่อ SME ที่ยังหดตัว และการสำรวจความเห็นของ SME โดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ที่พบว่าต้องการเข้าถึงสินเชื่อมากกว่าการพักชำระหนี้ โดยควรสนับสนุนผลักดันให้กิจการของ SME สามารถมีความพร้อมรองรับโอกาสจากเศรษฐกิจที่กำลังเข้าสู่ High Season ของภาคการท่องเที่ยวในช่วงปลายปีนี้ และการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของรัฐบาลด้วยเม็ดเงินถึง 5.6 แสนล้านบาทในช่วงต้นปีหน้า โดยที่ประชุมกกร.เสนอให้รัฐบาลใช้กลไกของ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ขยายการค้ำประกันสินเชื่อให้ SME เพิ่มอัตราการค้ำประกันจาก 30% เป็น  50-60%  โดยบูรณาการการใช้กองทุนของ สสว. เป็นองค์รวม ช่วยสนับสนุนค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อ เพื่อลดต้นทุน และช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SME

2. ที่ประชุม กกร. สนับสนุนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 5.6 แสนล้านบาท แต่เสนอว่า ควรจำกัดเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่ตอบโจทย์ และจำกัดพื้นที่ในการใช้งาน เพื่อก่อให้เกิดผลทางเศรษฐกิจทวีคูณ (Multiplier)มากกว่า โดยสนับสนุนการใช้จ่ายสินค้าที่ผลิตในประเทศ (Local Content) หากสามารถควบคุมวงเงินให้เหมาะสมจะมีวงเงินไปลงทุนเรื่องการบริหารจัดการน้ำด้วยซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วน เพื่อให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าไม่หยุดชะงักและเป็นไปตามเป้าหมาย มุ่งเน้นให้การเติบโตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

3. การปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำของประเทศควรใช้กลไกของคณะกรรมการไตรภาคีเป็นผู้กำหนดแนวทาง เพื่อให้เป็นไปตามความเหมาะสมของสถานการณ์เศรษฐกิจในแต่ละจังหวัด เนื่องจากบริบทและศักยภาพของแต่ละจังหวัดแตกต่างกัน ซึ่งการปรับค่าจ้างขั้นต่ำควรเป็นไปตามกฎหมายแรงงาน (มาตรา 87 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ซึ่งได้กำหนดปัจจัยในการพิจารณาการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ อาทิ เงินเฟ้อ ค่าครองชีพ ต้นทุนการผลิต ฯลฯ)

4. ผลักดันการเจรจาข้อตกลงทางการค้า FTA ระหว่างไทยกับต่างประเทศให้มากที่สุด โดยเร่งผลักดันการเจรจา FTA ที่ดำเนินการอยู่ให้แล้วเสร็จตามกรอบเวลา ทั้ง ไทย – EU, ไทย – ศรีลังกา, ไทย – EFTA และเปิดการเจรจาจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรี FTA ในตลาดสำคัญและตลาดใหม่ๆ และเปิดการเจรจาจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรี FTA ในตลาดสำคัญและตลาดใหม่ๆ เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกาใต้ และละตินอเมริกา ตลอดจน FTA ที่อยู่ระหว่างการเจรจาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมถึงการจัดตั้งกองทุน FTA เพื่อส่งเสริมและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า เพื่อขยายโอกาสทางการค้าและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน

5. ที่ประชุม กกร. เห็นควรให้รัฐบาลสนับสนุนและลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน EEC เพื่อดึงดูดการลงทุนต่อเนื่อง โดยมีประเด็นสำคัญที่จะต้องขับเคลื่อนต่อเนื่อง ตามร่างแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนา EEC ระยะที่ 2 บริบทการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อ EEC การจัดกลุ่ม Cluster อุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะ (2566 – 2570) ตาม 5 แนวทาง ประกอบด้วย 1) ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายและบริการแห่งอนาคต 2) เพิ่มประสิทธิภาพและการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐาน และระบบสาธารณูปโภค 3) ยกระดับทักษะแรงงานให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและนวัตกรรม 4) พัฒนาเมืองให้มีความทันสมัยน่าอยู่อาศัยและเหมาะสมกับการประกอบอาชีพ และ 5) เชื่อมโยงประโยชน์จากการลงทุนสู่ความยั่งยืนของชุมชน โดยเฉพาะการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC ให้มีความเพียงพอต่อการใช้งานในภาคอุตสาหกรรมและเป็นการสร้างความมั่นใจถึงความพร้อมกับนักลงทุนต่างชาติ

6. เร่งรัดแผนบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ในปี 2566 ปริมาณน้ำใช้ได้จริง ณ เดือนตุลาคม 2566 อยู่ที่ระดับ 54 % ซึ่งต่ำกว่าระดับในช่วงเดียวกันของปี 2565 ที่อยู่ที่ระดับ 66 % หากภาวะเอลนีโญ่มีความรุนแรง ปริมาณฝนที่ตกจะยิ่งต่ำกว่าค่าปกติ จะส่งผลให้ปริมาณน้ำใช้การได้ยิ่งน้อยลงและทำให้ความเสียหายจากภัยแล้งทวีความรุนแรงและจะกระทบเป็นวงกว้าง ดังนั้น ภาคเอกชน จึงขอให้รัฐบาลบูรณาการการดำเนินงานของกลไกภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปในทิศทางเดียวกัน สามารถจัดสรรน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภคโดยเฉพาะในพื้นที่เป้าหมายสำคัญ เช่น EEC และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขอให้เร่งรัดพัฒนาแหล่งเก็บน้ำที่สำคัญ เพื่อกักเก็บสำรองให้กับพื้นที่ภาคตะวันออก เช่น โครงการอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด รวมทั้งจัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC รวมถึงทบทวนแผนทรัพยากรน้ำ 20 ปี ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาแหล่งน้ำใหม่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก

อย่างไรก็ตาม โดยสรุปภาคเอกชนเห็นพ้องว่าประเด็นการบริหารจัดการน้ำเป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วน รัฐบาลจึงควรให้ความสำคัญกับการจัดสรรงบประมาณบริหารจัดการน้ำทั้งระยะสั้นและระยาว โดยอาจพิจารณาใช้งบประมาณบางส่วนจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าไม่หยุดชะงักและเป็นไปตามเป้าหมาย

7. ผลักดันแนวทางการทำ Carbon credit ให้สามารถเชื่อมโยงกับมาตรฐานสากล และสามารถทำการค้ากับต่างประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) จะมีการกำหนดบทบาทของภาคเอกชนในการเตรียมความพร้อม โดยสภาหอการค้าฯ เน้นภาคการค้า เกษตรและบริการ สภาอุตสาหกรรมฯ เน้นภาคการผลิต และสมาคมธนาคารไทยจะเข้ามาสนับสนุนภาคการเงิน เพื่อให้เกิดรูปแบบที่ชัดเจนและสามารถขับเคลื่อนมาตรการ Carbon credit และสามารถแก้ปัญหามาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรปได้ตรงจุด ลดผลกระทบให้กับผู้ส่งออกไป EU เป็นต้น.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

นายกฯ ถึงอุบลฯ แม่ทัพภาค 2 รอรับ ชวนรับดอกไม้ชาวบ้าน

อุบลราชธานี 20 มิ.ย.-นายกฯ ถึงอุบลราชธานี แม่ทัพภาค 2 รอรับ ชวนรับดอกไม้จากประชาชน ก่อนขึ้น ฮ.ไปฐานมรกต ให้กำลังใจทหารแนวหน้า ขำสื่อรุมถาม “ไมค์เขกหัวนายกฯ” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางถึงกองบิน 21 จ.อุบลราชธานี โดยมี พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 รอรับ และเดินทางต่อไปที่สนามกีฬานานาชาติ อบต.โดมประดิษฐ์ มีว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าฯ อุบลราชธานี นายเกรียง กัลป์ตินันท์ อดีต รมว.มหาดไทย และ สส.พรรคเพื่อไทย มารอต้อนรับ น.ส.แพทองธาร ได้มอบสิ่งของให้แก่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) และกล่าวทักทายอย่างเป็นกันเอง โดยชาวบ้านหลายคนนำดอกกุหลาบ และผ้าขาวม้า มามอบให้เป็นกำลังใจแก่นายกฯ ในระหว่างที่ประชาชนมอบดอกไม้ให้ นายกฯ ชวนแม่ทัพภาคที่ 2 มารับดอกไม้และถ่ายภาพร่วมกัน ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงการพูดคุยกับแม่ทัพภาคที่ 2 ได้เคลียร์ใจแล้วหรือไม่ […]

พรรคเสนอชื่อนายกฯ ได้ ต้องมี สส. 25 คน

รัฐสภา 20 มิ.ย.-เลขาธิการสภาฯ แจงพรรคเสนอชื่อนายกฯ ได้ ต้องมี สส. 25 คน แม้จะมีชื่อในบัญชี ก็ไม่เป็นผล ว่าที่ร้องตรีอาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หากต้องมีการเลือกนายกฯ ใหม่ ว่า บุคคลที่สามารถได้รับการเสนอชื่อจะต้องเป็นบุคคลที่มีรายชื่อในบัญชีที่เสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง โดยพรรคที่สามารถเสนอชื่อบุคคลเป็นนายกฯได้ จะต้องมี สส.จำนวน 5% ของสส. 500 คน คือมี สส. 25 คน ตามมาตรา 159 วรรค 1 ซึ่งในขณะนี้มี สส.ในสภาฯ จำนวน 495 คน 5% คือ 24.75 ซึ่งพรรคพลังประชารัฐขณะนี้มี สส.เหลือไม่ถึง 20 คน จึงไม่สามารถเสนอบุคคลในบัญชีรายชื่อคือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกฯ ได้ ตามมาตรา 159 […]

ทหารเรือเกษียณเลือดร้อน ยิงข้างห้องดับ 1 เจ็บ 1

ชุมพร 20 มิ.ย. – ทหารเรือเกษียณเลือดร้อน ฉุนข้างห้องติดเครื่องรถกระบะจอดแช่นาน เกิดมีปากเสียง คว้าปืนยิงสามีเข้าที่คอบาดเจ็บ ส่วนภรรยาโดนยิงเข้าเบ้าตาเสียชีวิต ตำรวจ สภ.เมืองชุมพร เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุยิงกัน บริเวณห้องเช่า ริมถนนซอยสุขาภิบาล 17 – วัดเขาปุก ต.วังไผ่ อ.เมือง จ.ชุมพร ที่เกิดเหตุเป็นห้องแถวเช่าติดกัน 4 ห้อง บริเวณหน้าห้องซ้ายสุด มีรถกระบะสีดำจอดอยู่ พร้อมกองเลือด ส่วนผู้บาดเจ็บ ทราบชื่อ น.ส.จิราวรรณ อายุ 54 ปี ถูกยิงเข้าที่ตาข้างขวา อาการสาหัส หน่วยกู้ชีพนำส่งโรงพยาบาล ก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมา นอกจากนั้นยังมีผู้บาดเจ็บอีก 1 คน คือ นายสุรพจน์ อายุ 53 ปี ถูกยิงเข้าที่ไหปลาร้า ใกล้ลำคอด้านขวา แต่กระสุนถากไป ได้รับบาดเจ็บไม่มาก นายสุรพจน์ ให้ข้อมูลว่า คนก่อเหตุยิงเป็นเพื่อนบ้านห้องเช่าใกล้กัน ชอบตะโกนต่อว่าตนว่าติดเครื่องยนต์จอดแช่ไว้นาน ทำให้รำคาญ ซึ่งตนก็บอกไปว่า รถยนต์ตนต้องติดเครื่องวอร์มแช่ไว้ก่อนทุกครั้ง […]

นายกฯ รับคลิปเสียงจริง ซัด “ฮุนเซน” ปล่อยหวังรัฐบาล-กองทัพแตกแยก

ทำเนียบ 18 มิ.ย.- นายกฯ รับคลิปเสียงคุย “ฮุนเซน” เป็นของจริง แจงปมบอกแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้าม เป็นเทคนิคการเจรจาต่อรองสร้างสันติภาพ หลัง “ฮุนเซน” โกรธ ชี้จุดประสงค์หวังสร้างคะแนนนิยมรัฐบาลกัมพูชาที่ไม่สนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รับไม่ไว้ใจ จากนี้ไม่ขอคุยส่วนตัว ปัดตอบสัมพันธ์ 2 ตระกูล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงด่วนกรณีมีคลิปเสียงสนทนาระหว่างที่พูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เผยแพร่ออกมาผ่านโซเชียลมีเดีย โดยยอมรับว่าเป็นคลิปจริง เป็นการคุยกันเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งตนได้ทราบข้อมูลจากล่ามที่แปลว่า ทางสมเด็จฮุน เซน โกรธแม่ทัพภาคที่ 2 ที่มีการพูดกันก่อนหน้านั้น เมื่อได้คุยกัน ตนจึงบอกว่า แม่ทัพภาคที่ 2 พูดกันแบบนี้ ในเมื่อเราทั้งไทยและกัมพูชาเป็นฝั่งตรงข้ามกันอยู่แล้ว ในตอนนั้นก็ต้องพูดแบบนี้ อย่าไปคิดเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่พยายามจะทำความเข้าใจ เพราะทางฝั่งสมเด็จฮุน เซน โกรธเรื่องนี้ และเป็นเทคนิคในการพูดหลังไมค์หลังบ้านแบบส่วนตัว ซึ่งการคุยโทรศัพท์ก็ไม่ควรเอามาเปิดเผย เพราะเป็นเทคนิคในการเจรจาพูดคุยต่อรอง ส่วนตัวคิดว่า ตนทำเพราะมีจุดมุ่งหมายและมีประเด็นที่จะรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขของบ้านเมืองและรักษาอธิปไตยของไทยไว้ ให้ผลประโยชน์อยู่กับประเทศชาติและประชาชน ตนก็คุยด้วยความซอฟต์และความนุ่มนวล เพราะบางทีเวลาคุยกันส่วนตัวก็เรียกกันลุงหลาน […]

ข่าวแนะนำ

“ฮุน มาเนต” สั่งปิดด่าน 2 แห่ง ตอบโต้ไทยปิดด่านช่องสายตะกู

22 มิ.ย.- “ฮุน มาเนต” นายกฯ กัมพูชา ออกคำสั่งปิดด่าน 2 แห่ง ตอบโต้ทางการไทยปิดด่าน “ช่องสายตะกู” เมื่อเวลา 07.00 น. “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เคลื่อนไหวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โพสต์หนังสือคำสั่ง โดยระบุว่า ให้ปิดด่านบ้านจุ๊บโกกี อ.บันเตียอำปึล จ.อุดรมีชัย จนกว่าไทยจะเปิดด่านช่องสายตะกู พร้อมระบุว่า เมื่อคืนวานนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัย ของกัมพูชา ได้รับแจ้งจากกองทัพภาคที่ 2 ของไทย ว่า จะมีการปิดด่านชายแดนช่องสายตะกูอย่างไม่มีกำหนด นอกจากนี้ ผู้นำกัมพูชา ยังได้อนุมัติให้ปิดด่านช่องจวม อ.อัลลองเวง จ.อุดรมีชัย และจะแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ และผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ของไทย รับทราบ สำหรับคำสั่งปิด 2 ด่านดังกล่าว เป็นจุดที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด่านช่องสายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ และด่านช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ -สำนักข่าวไทย

กองทัพภาค 2 สั่งปิดจุดผ่อนปรนการค้าช่องสายตะกู จ.บุรีรัมย์

22 มิ.ย.- กองทัพภาคที่ 2 มีคำสั่งปิดจุดผ่อนปรนการค้าช่องสายตะกู ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ตั้งแต่ 21 มิ.ย. 2568 เป็นต้นไป ตามคำสั่งกองทัพบก (เฉพาะ) ที่ 806/2568 เรื่องการควบคุม การเปิด – ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ให้กองทัพภาคที่ 2 โดยกองกำลังสุรนารี มีอำนาจการควบคุมการเปิด – ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา ในพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังสุรนารี วิธีการและเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลา ที่จำเป็นเหมาะสมในพื้นที่รับผิดชอบของกองกำลังสุรนารี เพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณาภาพแห่งดินแดงของประเทศไทย การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทย พร้อมทั้งให้เกิดความเหมาะสมต่อการปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ชายแดน และความมั่นคงของประเทศไทย กองทัพภาคที่ 2 จึงอนุมัติให้ปิดจุดผ่อนปรนการค้าช่องสายตะกู ตำบลจันทบเพชร อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป. – สำนักข่าวไทย

กรมอุตุฯ เผยไทยมีฝนเพิ่ม เตือนตะวันออก รับมือฝนถล่ม

กทม. 22 มิ.ย.- กรมอุตุฯ เผยประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและตกหนักบางแห่ง เตือนภาคตะวันออก เตรียมรับมือฝนถล่ม กรมอุตุนิยมวิทยา เผยประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่ม โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ทั้งนี้เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ประกอบกับมีร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ และประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย – สำนักข่าวไทย

โผ ครม. แพทองธาร 2 หลังภูมิใจไทยถอนตัว

21 มิ.ย. – สะพัดโผ ครม. แพทองธาร ชุดใหม่ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” นั่ง มท.1 พล.อ.สุนัย ประภูชะเนย์ หรือ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ นั่งกลาโหม ภายหลังพรรคภูมิใจไทย ประกาศถอนตัวไปเป็นฝ่ายค้าน ส่งผลให้ ครม. ว่างลง 8 ตำแหน่ง โผการปรับคณะรัฐมนตรีล่าสุด ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย มีชื่อของ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะไปนั่งเก้าอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แทนนายอนุทิน ชาญวีรกูล โดยก่อนหน้านี้ นายประเสริฐ ยืนยันว่า พร้อมไปทำงานในทุกตำแหน่งที่นายกรัฐมนตรี มอบหมาย ส่วน รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย (มท. 2) มีชื่อ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช และ นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข จากพรรคประชาธิปัตย์ จะสลับมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย (มท. 3) ส่วนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม […]