กลุ่ม GPSC- มทส. เปิดตัวโครงการนวัตกรรมพลังงานอัจฉริยะ

นครราชสีมา 7 ก.ย. – CHPP และ Nuovo Plus บริษัทในกลุ่ม GPSC จับมือ มทส. เปิดตัวโครงการนวัตกรรมพลังงานอัจฉริยะ ต้นแบบแหล่งเรียนรู้บริหารจัดการพลังงานอย่างยั่งยืน ทั้ง Solar Rooftop -Floating Solar พร้อมดิจิทัลแพลตฟอร์ม-ระบบกักเก็บพลังงาน


นางรสยา เธียรวรรณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่พัฒนาธุรกิจ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการนวัตกรรมพลังงานอัจฉริยะแห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง บริษัทในกลุ่ม GPSC ได้แก่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าและพลังงานร่วม จำกัด หรือ CHPP ซึ่ง GPSC ถือหุ้น 100% และบริษัท นูออโว พลัส จำกัด หรือ Nuovo Plus ซึ่ง GPSC ถือหุ้น 49% กับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) เพื่อส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) ภายในอาคารของมหาวิทยาลัยฯ เพื่อร่วมมือในการวิจัยพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ และยังเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงานหมุนเวียนที่สำคัญของประเทศไทย

นางรสยา กล่าวว่า โครงการนวัตกรรมพลังงานอัจฉริยะแห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 6 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์บนหลังคา (Solar Rooftop) ขนาดกำลังการผลิต 1.72 เมกะวัตต์ และการติดตั้งโซลาร์ลอยน้ำ (Floating Solar) ขนาดกำลังการผลิต 4.28 เมกะวัตต์ โดยได้นำระบบดิจิทัลเพื่อการบริหารจัดการการใช้พลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควบคู่กับการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Energy Storage System: BESS) เพื่อเป็นโครงข่ายนวัตกรรมพลังงานหมุนเวียนอัจฉริยะในสถาบันอุดมศึกษาของประเทศไทย และเป็นสถาบันการศึกษาต้นแบบของระบบการบริหารจัดการไฟฟ้าอัจฉริยะหรือ Smart Grid ที่สามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาไปสู่เมืองอัจฉริยะหรือ Smart City ได้ในอนาคตของจังหวัดนครราชสีมา


“การพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนดังกล่าว มหาวิทยาลัยฯ สามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดได้ถึง 8.5 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี ซึ่งจะสามารถลดค่าไฟฟ้าของมหาวิทยาลัยฯ ได้ถึง 510 ล้านบาทตลอดอายุโครงการ 25 ปี และลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ถึง 115,000 ตัน ส่วนการติดตั้ง Floating Solar จะช่วยลดการระเหยน้ำในอ่างเก็บน้ำมากกว่า 30,000 ลูกบาศก็เมตรต่อปี ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพพลังงานหมุนเวียนให้มีประสิทธิภาพ และเป็นศูนย์การเรียนรู้แห่งใหม่ด้านพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อชุมชนที่มีส่วนสำคัญต่อการอนุรักษ์พลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” นางรสยา กล่าว

ทั้งนี้ การพัฒนาโครงการดังกล่าว ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ ปี 2564 และสามารถดำเนินการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของมหาวิทยาลัยตั้งแต่ต้นปี 2566 เป็นต้นมา โดยรายละเอียดของการดำเนินงานได้ติดตั้งระบบไฟฟ้าเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย ส่วนที่ 1. Solar Rooftop บริเวณหลังคาของ 5 อาคาร ขนาดกำลังไฟฟ้ารวมประมาณ 1.66 เมกะวัตต์ ใช้แผงเซลล์แสงอาทิตย์แบบ Mono PERC Half-Cell Module ที่มีคุณสมบัติพิเศษผลิตจากซิลิกอน เซลล์ขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพการทำงานสูง อายุการใช้งานที่ยาวนาน ส่วนที่ 2. Solar Rooftop บริเวณหลังคาทางเดินอาคารเรียนรวม 1 ขนาดกำลังติดตั้ง 0.06 เมกะวัตต์ เป็นแผงเซลล์แสงอาทิตย์แบบ Bifacial Cells มีความโดดเด่นด้านการออกแบบเพื่อให้แสงส่องผ่านได้ทั้ง 2 ด้านเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด (แผง 540 วัตต์) ส่วนที่ 3. Floating Solar บริเวณอ่างเก็บน้ำสุระ 1 ขนาดกำลังติดตั้งรวมประมาณ 4.28 เมกะวัตต์ (แผงม540 วัตต์ ) ด้วยทุ่นลอยน้ำ G Float ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของ CHPP ที่ใช้วัตถุดิบ (Raw Material) เป็นเม็ดพลาสติกโพลิเอทิลีนเกรดพิเศษที่ผสมสารกันแสง UV มีคุณสมบัติคงทนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยังสามารถนำกลับไปสู่กระบวนการรีไซเคิลได้หลังจากสิ้นสุดอายุการใช้งานอีกด้วย

นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้สามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาดได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นต้นแบบในด้านการซื้อขายไฟฟ้าแบบ Peer to Peer Trading พร้อมกับสามารถรายงานผลการซื้อขายได้แบบ Real-time จึงได้ติดตั้งระบบ BESS ขนาด 100 กิโลวัตต์/200 กิโลวัตต์-ชั่วโมง โดยใช้ระบบ Monitoring Platform ซึ่งเป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อทำการวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าในแต่ละช่วงเวลาให้สอดรับกับการผลิตกระแสไฟฟ้า นับเป็นการพัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Trading Platform) ที่จะเป็นการรองรับการจัดการพลังงานแบบครบวงจรอย่างมีประสิทธิภาพ


รศ.อนันต์ ทองระอา อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี กล่าวว่า กลุ่ม GPSC ถือเป็นพาร์ทเนอร์ที่ร่วมวิจัยและพัฒนาเรื่องพลังานสะอาดกับทางมหาวิทยาลัย เชื่อว่าในอนาคตโครงการดังกล่าวจะทำให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีกลายเป็นโชว์รูมพลังงานสะอาด ปัจจุบันทางมหาวิทยาลัยมีภาระค่าไฟฟ้าประมาณ 100 ล้านบาทต่อปี และหากมีการขึ้นค่าเอฟที คาดว่าค่าไฟฟ้าจะขึ้นเป็น 140 ล้านบาทต่อปี ซึ่งโครงการดังกล่าวจะถือเป็นมีส่วนช่วยในการลดภาระค่าไฟฟ้า และเป็นต้นแบบโครงการในการใช้พลังงานทางเลือกที่จะเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับนักศึกษาต่อไป

ทั้งนี้ ภายในงานยังมีพิธีมอบรางวัลการประกวดออกแบบลวดลายภาพผนังห้องควบคุมระบบกักเก็บพลังงาน จากแบตเตอรี่ (BESS) ซึ่งเป็นผลงานของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี อีกด้วย.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]