หลายประเทศสนใจข้าวไทยเพิ่มขึ้นหลังแจงข้าวไทยมีเพียงพอ

นนทบุรี 31 ส.ค.-อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศมั่นใจหลังปัญหาอินเดียห้ามส่งออกข้าวในช่วงกลางเดือนก.ค.66 ที่ผ่านมา แต่ภายหลังได้นำคณะเยือนหลายประเทศแจงข่าวดีข้าวไทยมีเพียงพอส่งออกป้อนตลาดได้ไม่ขาดแคลนแถมราคาข้าวเวียดนามเริ่มมีราคาแพงกว่าข้าวไทยกว่า 10 เหรียญสหรัฐต่อตัน ระบุส่งออกข้าวไทยปีนี้ได้ตามเป้าหมายกว่า 8 ล้านตัน แต่ยังห่วงปัญหาภัยแล้งที่จะรุนแรงขึ้นปีหน้า 


นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าวว่ากรมการค้าต่างประเทศเร่งเดินหน้าส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในต่างประเทศ จัดคณะผู้แทนภาครัฐและเอกชนเดินทางเยือนตลาดคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น เพื่อกระชับความสัมพันธ์ สร้างความเชื่อมั่น และรักษาตลาดข้าวไทย คาดคู่ค้าสั่งซื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ถือเป็นขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ข้าวไทยด้านการตลาดต่างประเทศ ได้เร่งผลักดันการดำเนินการตามนโยบาย “ตลาดนำการผลิต” ซึ่งการเยือน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น ประสบผลสำเร็จเกินคาด หลายประเทศสนใจสั่งซื้อข้าวไทย

ทั้งนี้ การเดินทางในภูมิภาคอาเซียนเริ่มจาก ฟิลิปปินส์ ระหว่างวันที่ 19 – 21 กรกฎาคม 2566 คณะผู้แทนไทยได้พบหารือกับสำนักอุตสาหกรรมพืช (Bureau of Plant Industry: BPI) กระทรวงเกษตร เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกฎระเบียบและขั้นตอนการออกใบอนุญาตนำเข้าและใบรับรองสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชสำหรับการนำเข้า ซึ่งจะช่วยลดอุปสรรคในการส่งออกข้าวจากมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีของฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ ยังได้พบหารือกับหน่วยงานPhilippine International Trading Corporation (PITC) และหน่วยงาน National Food Authority (NFA) ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการบริหารจัดการสต็อกข้าวของฟิลิปปินส์ โดยได้แลกเปลี่ยนข้อมูลนโยบายการจัดหาและนำเข้าข้าว รวมถึงนโยบายความมั่นคงทางอาหารของฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้ให้ความเชื่อมั่นว่าไทยมีแผนในการบริหารจัดการข้าวอย่างมีประสิทธิภาพ และพร้อมสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารของฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ คณะผู้แทนไทยยังได้พบปะหารือกับผู้นำเข้าข้าวฟิลิปปินส์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการค้าข้าว รวมทั้งจัดเตรียมตัวอย่างข้าวขาวพื้นนุ่มซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของชาวฟิลิปปินส์ ให้แก่ผู้นำเข้าข้าวเพื่อทดลองตลาด ทั้งนี้ ผู้นำเข้าข้าวฟิลิปปินส์สนใจและยินดีนำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้น


ต่อด้วย มาเลเซีย ระหว่างวันที่ 21 – 22 สิงหาคม 2566 โดยคณะผู้แทนไทยได้เข้าพบหารือกับหน่วยงาน Padiberas Nasional Berhad (BERNAS) ซึ่งเป็นผู้ได้รับสิทธิในการกำกับดูแลนำเข้าข้าวของมาเลเซีย และผู้นำเข้าข้าว ผู้ค้าส่ง/ค้าปลีก (Wholesalers/Retailers) โดยจากการหารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์ตลาดข้าวระหว่างกัน ทำให้ได้ทราบว่าในปีนี้มาเลเซียจะนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจนำเข้าข้าวคือราคาที่สูงและมีความผันผวนมาก นอกจากนี้ ปัจจุบันผู้บริโภคชาวมาเลเซียยังหันมานิยมข้าวพื้นนุ่มที่เป็นข้าวฤดูกาลใหม่มากขึ้น ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้นำเสนอตัวอย่างข้าวพื้นนุ่มของไทยให้แก่ผู้นำเข้าข้าวมาเลเซีย โดยคาดว่าจะสามารถมีผลผลิตออกสู่ตลาดต่างประเทศได้ภายใน 2 – 3 ปี ซึ่งมาเลเซียแสดงความสนใจที่จะพิจารณานำเข้าข้าวจากไทยเนื่องจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในคุณภาพข้าวไทยและผู้ส่งออกของไทยมีศักยภาพในการจัดส่งข้าวได้ตามความต้องการของมาเลเซียมาโดยตลอด ทั้งในด้านคุณภาพ ปริมาณ และระยะเวลาส่งมอบ

ส่วนอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566 คณะผู้แทนไทยได้พบหารือกับหน่วยงาน National Food Agency ซึ่งรัฐบาลอินโดนีเซียจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2564 เพื่อบริหารจัดการอาหารให้มีประสิทธิภาพและเพียงพอต่อความต้องการในประเทศ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าข้าวของอินโดนีเซียเข้าร่วมการหารือครั้งนี้ ได้แก่ หน่วยงานMinistry of State-Owned Enterprises ซึ่งดูแลหน่วยงานรัฐวิสาหกิจทั้งหมดของอินโดนีเซีย หน่วยงาน The State Logistics Agency (BULOG) รัฐวิสาหกิจซึ่งดูแลการนำเข้าข้าวของรัฐบาลอินโดนีเซีย และ ID Food Holding Company บริษัทผู้ส่งออก-นำเข้าข้าว ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายไทยได้มีโอกาสพบหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าข้าวทั้งหมดของอินโดนีเซีย ผลการหารือทราบว่าในปีนี้อินโดนีเซียมีความต้องการนำเข้าข้าวอีกกว่า400,000 ตัน เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ โดยอินโดนีเซียยินดีนำเข้าข้าวจากไทยเนื่องจากข้าวไทยมีคุณภาพดี อย่างไรก็ดี ขึ้นอยู่กับราคาที่เหมาะสมด้วย นอกจากนี้ คณะผู้แทนไทยยังได้เข้าเยี่ยมชม Food Station ซึ่งเป็นศูนย์รวมและกระจายข้าวที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย ทำให้ได้ทราบและมีความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าข้าวของอินโดนีเซียมากขึ้น ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้แสดงความพร้อมในการสนับสนุนส่งออกข้าวเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหารให้อินโดนีเซียต่อไป

นอกจากนี้ ล่าสุดคณะผู้แทนไทยได้เดินทางเยือนญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 27 – 29 สิงหาคม 2566 โดยเข้าพบหารือกับหน่วยงานของกระทรวงเกษตร ป่าไม้และประมงของญี่ปุ่น (Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries: MAFF) ซึ่งทำหน้าที่บริหารจัดการการผลิต และการค้าข้าว รวมทั้งการกำกับดูแลการประมูลข้าว กำหนดปริมาณและชนิดข้าวที่จะนำเข้าของญี่ปุ่น โดยจากการหารือทำให้ได้ทราบว่า ปัจจุบันความต้องการบริโภคข้าวของญี่ปุ่นมีแนวโน้มลดลงประมาณ 1 แสนตัน/ปี เนื่องจากจำนวนประชากรและนักท่องเที่ยวมาเยือนญี่ปุ่นลดลง อย่างไรก็ดี ญี่ปุ่นยังคงนำเข้าข้าวจากไทยปีละประมาณ 0.26 – 0.29 ล้านตัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าข้าวขาวจากไทยไปใช้ในอุตสาหกรรมข้าวของญี่ปุ่น เช่น ขนมอบกรอบ แป้งข้าว และเหล้าอะวาโมริ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้พบหารือกับประธานบริษัท Overseas Merchandise Inspection Company (OMIC) โดยได้แลกเปลี่ยนข้อมูลของการตรวจสอบคุณภาพข้าวไทยที่ส่งออกไปญี่ปุ่นในช่วงที่ผ่านมา และคณะผู้แทนไทยยังได้พบหารือกับผู้นำเข้าข้าวของญี่ปุ่น ซึ่งผู้นำเข้าได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อการส่งออกข้าวไทยไปญี่ปุ่นอันเนื่องมาจากสถานการณ์ภัยแล้ง เอลนีโญ และการออกประกาศระงับการส่งออกข้าวที่ไม่ใช่บาสมาติของอินเดีย โดยฝ่ายไทยยืนยันว่า ผลผลิตข้าวไทยในปีนี้มีปริมาณเพียงพอต่อการส่งออกและพร้อมที่จะส่งมอบข้าวคุณภาพและมาตรฐานตรงตามสัญญาให้แก่ญี่ปุ่นต่อไป


อย่างไรก็ตาม กรมฯ ได้จัดกิจกรรม Thailand Rice Convention 2023 สัญจร 4 ภูมิภาค โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมข้าวในส่วนภูมิภาค ได้รับทราบนโยบาย และทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวไทย โดยกิจกรรมประกอบด้วย การสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับตลาดข้าว ความต้องการและพฤติกรรมผู้บริโภคข้าวในต่างประเทศ และทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวไทยทั้งระบบตามแนวนโยบายตลาดนำการผลิต ตั้งแต่การพัฒนาพันธุ์ข้าว เป็นต้น ที่ผ่านมากรมฯ ได้มีการจัดกิจกรรมเสร็จสิ้นไปแล้ว 3 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ณ จังหวัดเชียงราย (วันที่ 24-25 เมษายน 2566) ภาคกลาง ณ จังหวัดสุพรรณบุรี (วันที่ 7 กรกฎาคม 2566) และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ จังหวัดอุบลราชธานี (วันที่ 21 – 22 สิงหาคม 2566) ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมในแต่ละภูมิภาคไม่ต่ำกว่า 150 ราย 

ทั้งนี้ เป็นที่สังเกตุขณะนี้ในตลาดข้าวโลกโดยล่าสุดข้าวขาวเวียดนามแพงกว่าข้าวขาวไทย โดยตอนนี้ข้าวขาวเวียดนามอยู่ที่ 635 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะที่ข้าวขาวไทยอยู่ที่ 620 เหรียญสหรัฐต่อตันเท่านั้น ส่งผลให้โอกาสที่ข้าวไทยจะแข่งขันในตลาดโลกและเป็นที่ต้องการของหลายประเทศแน่นอน ซึ่งจากตัวเลขการส่งออกข้าวไทยปี 66 ตั้งแต่เดือนมกราคม-กรกฎาคม 66 สามารถส่งออกข้าวแล้วทั้งสิ้น 4.64 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่4.09 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 13.45 %หรือคิดเป็นมูลค่า 2,518 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเงินบาท 87,411 ล้านบาท และเท่าที่ได้พูดคุยกับภาคเอกชนผู้ส่งออกข้าวต่างๆยืนยันปี 66 มีคำสั้่งซื้อเข้ามาต่อเนื่องตลอดปี ดังนั้น เชื่อว่ายอดร่วมการส่งออกข้าวไทยในปีนี้เป็นไปตาดคาดการณ์ไว้ไม่ต่ำกว่า 8 ล้านตัน โดยแม้ว่าไทยจะประสบปัญหาด้านภัยแล้งในปีนี้ แต่ผลกระทบปีนี้ไม่น่าห่วงแต่ในปีหน้าคงต้องติดตามปัญหาภัยแล้งอาาจะมีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะการเพาะปลูกข้าวนาปรังเป็นต้น.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ประหารชีวิตแอมไซยาไนด์

ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์”

ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์” ส่วนอดีตสามี คุก 1 ปี 4 เดือน “ทนายพัช” คุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ชดใช้ ให้ผู้เสียหายกว่า 2 ล้านบาท

นายกฯ ถกตั้งนายพลตำรวจ 41 ตำแหน่ง ยันไม่มีการเมืองแทรก

นายกฯ ถกแต่งตั้งนายพลตำรวจ 41 ตำแหน่ง ยันไม่มีการเมืองแทรก ยึดตาม พ.ร.บ.ตำรวจ ฉบับใหม่ พลิกโผ ‘สยาม บุญสม’ ผงาดคุมนครบาล ‘สันติ ชัยนิรามัย’ นั่ง ผบช.ปส. ‘ไตรรงค์ ผิวพรรณ’ โยกคุมไซเบอร์ ‘ภาณุมาศ บุญญลักษม์’ ขึ้นเป็น ผบช.สตม.

ดีเอสไอพบเส้นเงินโอนจากแม่ถึงนักการเมือง ส. เกือบ 100 ล้าน

ดีเอสไอพบเส้นเงินโอนจากแม่ถึงนักการเมือง ส. เกือบ 100 ล้านบาท จำนวนนี้พบโอนจาก “บอสพอล-บอสปีเตอร์” ด้วย เร่งขยายผลมีบอสรายอื่นโอนเข้าบัญชีดังกล่าวอีกหรือไม่

ข่าวแนะนำ

ล้มล้างการปกครอง

ศาล รธน.มีมติเสียงข้างมากไม่รับคำร้อง “ทักษิณ-พท.” ล้มล้างการปกครอง

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมากไม่รับคำร้องของนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ขอให้ศาลวินิจฉัยว่า “ทักษิณ-พรรคเพื่อไทย” ล้มล้างการปกครอง

คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญถกคำร้อง “ทักษิณ-เพื่อไทย” ล้มล้างฯ

จับตา ศาลรัฐธรรมนูญ “รับ/ไม่รับ” คำร้องปม “ทักษิณ-พรรคเพื่อไทย” ใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองหรือไม่

อุตุฯ เผยเหนือ-อีสาน อากาศเย็นในตอนเช้า ภาคใต้ฝนตกหนักบางแห่ง

กรมอุตุฯ เผยภาคเหนือ ภาคอีสาน มีอากาศเย็นในตอนเช้า ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง ส่วนภาคใต้ มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง

“เอวา” เสือโคร่งสายแบ๊ว ดาวรุ่งดวงใหม่

หน้าตาที่น่ารักบ้องแบ๊วเหมือนแมวตัวโต ตกหัวใจคนรักสัตว์กันไปเต็มๆ สำหรับน้องเอวา เสือโคร่งสายแบ๊วของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี นอกจากหน้าตาน่ารักแล้วยังมีความสามารถหลายอย่าง จนกลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ ที่ผู้คนแห่ไปชมความน่ารักกันอย่างคึกคัก คาดจะช่วยดึงนักท่องเที่ยวไปที่เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ