หลายประเทศสนใจข้าวไทยเพิ่มขึ้นหลังแจงข้าวไทยมีเพียงพอ

นนทบุรี 31 ส.ค.-อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศมั่นใจหลังปัญหาอินเดียห้ามส่งออกข้าวในช่วงกลางเดือนก.ค.66 ที่ผ่านมา แต่ภายหลังได้นำคณะเยือนหลายประเทศแจงข่าวดีข้าวไทยมีเพียงพอส่งออกป้อนตลาดได้ไม่ขาดแคลนแถมราคาข้าวเวียดนามเริ่มมีราคาแพงกว่าข้าวไทยกว่า 10 เหรียญสหรัฐต่อตัน ระบุส่งออกข้าวไทยปีนี้ได้ตามเป้าหมายกว่า 8 ล้านตัน แต่ยังห่วงปัญหาภัยแล้งที่จะรุนแรงขึ้นปีหน้า 


นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าวว่ากรมการค้าต่างประเทศเร่งเดินหน้าส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในต่างประเทศ จัดคณะผู้แทนภาครัฐและเอกชนเดินทางเยือนตลาดคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น เพื่อกระชับความสัมพันธ์ สร้างความเชื่อมั่น และรักษาตลาดข้าวไทย คาดคู่ค้าสั่งซื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ถือเป็นขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ข้าวไทยด้านการตลาดต่างประเทศ ได้เร่งผลักดันการดำเนินการตามนโยบาย “ตลาดนำการผลิต” ซึ่งการเยือน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น ประสบผลสำเร็จเกินคาด หลายประเทศสนใจสั่งซื้อข้าวไทย

ทั้งนี้ การเดินทางในภูมิภาคอาเซียนเริ่มจาก ฟิลิปปินส์ ระหว่างวันที่ 19 – 21 กรกฎาคม 2566 คณะผู้แทนไทยได้พบหารือกับสำนักอุตสาหกรรมพืช (Bureau of Plant Industry: BPI) กระทรวงเกษตร เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกฎระเบียบและขั้นตอนการออกใบอนุญาตนำเข้าและใบรับรองสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชสำหรับการนำเข้า ซึ่งจะช่วยลดอุปสรรคในการส่งออกข้าวจากมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีของฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ ยังได้พบหารือกับหน่วยงานPhilippine International Trading Corporation (PITC) และหน่วยงาน National Food Authority (NFA) ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการบริหารจัดการสต็อกข้าวของฟิลิปปินส์ โดยได้แลกเปลี่ยนข้อมูลนโยบายการจัดหาและนำเข้าข้าว รวมถึงนโยบายความมั่นคงทางอาหารของฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้ให้ความเชื่อมั่นว่าไทยมีแผนในการบริหารจัดการข้าวอย่างมีประสิทธิภาพ และพร้อมสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารของฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ คณะผู้แทนไทยยังได้พบปะหารือกับผู้นำเข้าข้าวฟิลิปปินส์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการค้าข้าว รวมทั้งจัดเตรียมตัวอย่างข้าวขาวพื้นนุ่มซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของชาวฟิลิปปินส์ ให้แก่ผู้นำเข้าข้าวเพื่อทดลองตลาด ทั้งนี้ ผู้นำเข้าข้าวฟิลิปปินส์สนใจและยินดีนำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้น


ต่อด้วย มาเลเซีย ระหว่างวันที่ 21 – 22 สิงหาคม 2566 โดยคณะผู้แทนไทยได้เข้าพบหารือกับหน่วยงาน Padiberas Nasional Berhad (BERNAS) ซึ่งเป็นผู้ได้รับสิทธิในการกำกับดูแลนำเข้าข้าวของมาเลเซีย และผู้นำเข้าข้าว ผู้ค้าส่ง/ค้าปลีก (Wholesalers/Retailers) โดยจากการหารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์ตลาดข้าวระหว่างกัน ทำให้ได้ทราบว่าในปีนี้มาเลเซียจะนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจนำเข้าข้าวคือราคาที่สูงและมีความผันผวนมาก นอกจากนี้ ปัจจุบันผู้บริโภคชาวมาเลเซียยังหันมานิยมข้าวพื้นนุ่มที่เป็นข้าวฤดูกาลใหม่มากขึ้น ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้นำเสนอตัวอย่างข้าวพื้นนุ่มของไทยให้แก่ผู้นำเข้าข้าวมาเลเซีย โดยคาดว่าจะสามารถมีผลผลิตออกสู่ตลาดต่างประเทศได้ภายใน 2 – 3 ปี ซึ่งมาเลเซียแสดงความสนใจที่จะพิจารณานำเข้าข้าวจากไทยเนื่องจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในคุณภาพข้าวไทยและผู้ส่งออกของไทยมีศักยภาพในการจัดส่งข้าวได้ตามความต้องการของมาเลเซียมาโดยตลอด ทั้งในด้านคุณภาพ ปริมาณ และระยะเวลาส่งมอบ

ส่วนอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566 คณะผู้แทนไทยได้พบหารือกับหน่วยงาน National Food Agency ซึ่งรัฐบาลอินโดนีเซียจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2564 เพื่อบริหารจัดการอาหารให้มีประสิทธิภาพและเพียงพอต่อความต้องการในประเทศ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าข้าวของอินโดนีเซียเข้าร่วมการหารือครั้งนี้ ได้แก่ หน่วยงานMinistry of State-Owned Enterprises ซึ่งดูแลหน่วยงานรัฐวิสาหกิจทั้งหมดของอินโดนีเซีย หน่วยงาน The State Logistics Agency (BULOG) รัฐวิสาหกิจซึ่งดูแลการนำเข้าข้าวของรัฐบาลอินโดนีเซีย และ ID Food Holding Company บริษัทผู้ส่งออก-นำเข้าข้าว ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายไทยได้มีโอกาสพบหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าข้าวทั้งหมดของอินโดนีเซีย ผลการหารือทราบว่าในปีนี้อินโดนีเซียมีความต้องการนำเข้าข้าวอีกกว่า400,000 ตัน เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ โดยอินโดนีเซียยินดีนำเข้าข้าวจากไทยเนื่องจากข้าวไทยมีคุณภาพดี อย่างไรก็ดี ขึ้นอยู่กับราคาที่เหมาะสมด้วย นอกจากนี้ คณะผู้แทนไทยยังได้เข้าเยี่ยมชม Food Station ซึ่งเป็นศูนย์รวมและกระจายข้าวที่ใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย ทำให้ได้ทราบและมีความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าข้าวของอินโดนีเซียมากขึ้น ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้แสดงความพร้อมในการสนับสนุนส่งออกข้าวเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหารให้อินโดนีเซียต่อไป

นอกจากนี้ ล่าสุดคณะผู้แทนไทยได้เดินทางเยือนญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 27 – 29 สิงหาคม 2566 โดยเข้าพบหารือกับหน่วยงานของกระทรวงเกษตร ป่าไม้และประมงของญี่ปุ่น (Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries: MAFF) ซึ่งทำหน้าที่บริหารจัดการการผลิต และการค้าข้าว รวมทั้งการกำกับดูแลการประมูลข้าว กำหนดปริมาณและชนิดข้าวที่จะนำเข้าของญี่ปุ่น โดยจากการหารือทำให้ได้ทราบว่า ปัจจุบันความต้องการบริโภคข้าวของญี่ปุ่นมีแนวโน้มลดลงประมาณ 1 แสนตัน/ปี เนื่องจากจำนวนประชากรและนักท่องเที่ยวมาเยือนญี่ปุ่นลดลง อย่างไรก็ดี ญี่ปุ่นยังคงนำเข้าข้าวจากไทยปีละประมาณ 0.26 – 0.29 ล้านตัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าข้าวขาวจากไทยไปใช้ในอุตสาหกรรมข้าวของญี่ปุ่น เช่น ขนมอบกรอบ แป้งข้าว และเหล้าอะวาโมริ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้พบหารือกับประธานบริษัท Overseas Merchandise Inspection Company (OMIC) โดยได้แลกเปลี่ยนข้อมูลของการตรวจสอบคุณภาพข้าวไทยที่ส่งออกไปญี่ปุ่นในช่วงที่ผ่านมา และคณะผู้แทนไทยยังได้พบหารือกับผู้นำเข้าข้าวของญี่ปุ่น ซึ่งผู้นำเข้าได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อการส่งออกข้าวไทยไปญี่ปุ่นอันเนื่องมาจากสถานการณ์ภัยแล้ง เอลนีโญ และการออกประกาศระงับการส่งออกข้าวที่ไม่ใช่บาสมาติของอินเดีย โดยฝ่ายไทยยืนยันว่า ผลผลิตข้าวไทยในปีนี้มีปริมาณเพียงพอต่อการส่งออกและพร้อมที่จะส่งมอบข้าวคุณภาพและมาตรฐานตรงตามสัญญาให้แก่ญี่ปุ่นต่อไป


อย่างไรก็ตาม กรมฯ ได้จัดกิจกรรม Thailand Rice Convention 2023 สัญจร 4 ภูมิภาค โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมข้าวในส่วนภูมิภาค ได้รับทราบนโยบาย และทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวไทย โดยกิจกรรมประกอบด้วย การสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับตลาดข้าว ความต้องการและพฤติกรรมผู้บริโภคข้าวในต่างประเทศ และทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมข้าวไทยทั้งระบบตามแนวนโยบายตลาดนำการผลิต ตั้งแต่การพัฒนาพันธุ์ข้าว เป็นต้น ที่ผ่านมากรมฯ ได้มีการจัดกิจกรรมเสร็จสิ้นไปแล้ว 3 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ณ จังหวัดเชียงราย (วันที่ 24-25 เมษายน 2566) ภาคกลาง ณ จังหวัดสุพรรณบุรี (วันที่ 7 กรกฎาคม 2566) และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ จังหวัดอุบลราชธานี (วันที่ 21 – 22 สิงหาคม 2566) ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมในแต่ละภูมิภาคไม่ต่ำกว่า 150 ราย 

ทั้งนี้ เป็นที่สังเกตุขณะนี้ในตลาดข้าวโลกโดยล่าสุดข้าวขาวเวียดนามแพงกว่าข้าวขาวไทย โดยตอนนี้ข้าวขาวเวียดนามอยู่ที่ 635 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะที่ข้าวขาวไทยอยู่ที่ 620 เหรียญสหรัฐต่อตันเท่านั้น ส่งผลให้โอกาสที่ข้าวไทยจะแข่งขันในตลาดโลกและเป็นที่ต้องการของหลายประเทศแน่นอน ซึ่งจากตัวเลขการส่งออกข้าวไทยปี 66 ตั้งแต่เดือนมกราคม-กรกฎาคม 66 สามารถส่งออกข้าวแล้วทั้งสิ้น 4.64 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่4.09 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 13.45 %หรือคิดเป็นมูลค่า 2,518 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเงินบาท 87,411 ล้านบาท และเท่าที่ได้พูดคุยกับภาคเอกชนผู้ส่งออกข้าวต่างๆยืนยันปี 66 มีคำสั้่งซื้อเข้ามาต่อเนื่องตลอดปี ดังนั้น เชื่อว่ายอดร่วมการส่งออกข้าวไทยในปีนี้เป็นไปตาดคาดการณ์ไว้ไม่ต่ำกว่า 8 ล้านตัน โดยแม้ว่าไทยจะประสบปัญหาด้านภัยแล้งในปีนี้ แต่ผลกระทบปีนี้ไม่น่าห่วงแต่ในปีหน้าคงต้องติดตามปัญหาภัยแล้งอาาจะมีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะการเพาะปลูกข้าวนาปรังเป็นต้น.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โฆษก ทบ. ยันทหารกัมพูชายอมถอนกำลัง-กลบคูเลต ลดตึงเครียด

8 มิ.ย. – โฆษก ทบ. ยืนยันทหารกัมพูชายอมถอนกำลังกลับไปอยู่จุดเดิม พร้อมกลบคูเลตให้คืนสู่สภาพเดิม หลังบรรลุข้อตกลงการหารือ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ในพื้นที่พิพาทบริเวณช่องบก ลดความตึงเครียด วันนี้ (8 มิ.ย.68)​ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ฝ่ายกัมพูชา นำโดย พล.ท.สรัย ดึก รองผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ได้เชิญฝ่ายทหารไทย โดย พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เข้าร่วมหารือ เพื่อเจรจาเกี่ยวกับกรณีปัญหาการรุกล้ำดินแดนในพื้นที่พิพาทบริเวณช่องบก จากการหารือเบื้องต้น ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงในประเด็นสำคัญ คือ ฝ่ายทหารกัมพูชายินยอมถอนกำลังกลับไปยังจุดที่เคยประจำการอยู่เดิม ซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณที่เกิดเหตุปะทะ หรือแนวต้นพญาสัตบรรณ ลึกเข้าไปในเขตแดนของประเทศกัมพูชา จุดดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชาเคยใช้เป็นแนววางกำลังฐานมาโดยตลอดในอดีต นอกจากนี้ ฝ่ายกัมพูชายังแสดงความยินยอมที่จะดำเนินการกลบคูเลตให้กลับคืนสู่สภาพธรรมชาติตามเดิม ตามข้อเสนอของฝ่ายไทย เพื่อเป็นการลดความตึงเครียด และสร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือ ภายหลังจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันที่จะใช้กลไกระดับคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น เป็นช่องทางในการหารือแนวทางบริหารจัดการพื้นที่อย่างเหมาะสมและยั่งยืนต่อไป.-313-สำนักข่าวไทย

Chaos and crowds at Poipet International Border Gate

สื่อกัมพูชาลงภาพคนแออัดที่ด่านปอยเปต

พนมเปญ 8 มิ.ย. – สื่อกัมพูชาเผยแพร่ภาพชาวกัมพูชาและชาวต่างชาติแออัดที่จุดผ่านแดนถาวรปอยเปต ในเช้าวันนี้ เพื่อรอข้ามแดน หลังจากไทยประกาศมาตรการจำกัดการข้ามแดนระหว่าง 2 ประเทศ เว็บไซต์หนังสือพิมพ์แขมร์ไทมส์เผยแพร่ภาพชุดจากเฟรชนิวส์ ซึ่งเป็นสื่อออนไลน์ของกัมพูชา เป็นภาพสถานการณ์ที่จุดผ่านแดนถาวรด้านปอยเปต จังหวัดบันเตียเมียนเจยของกัมพูชาที่ติดกับบ้านคลองลึก จังหวัดสระแก้วของไทย เจ้าหน้าที่กัมพูชารายงานว่า สถานการณ์ช่วงเช้าวันนี้มีคนหนาแน่นมาก หลังจากทางการปรับเวลาเปิดปิดประตูจุดผ่านแดน อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ชายแดนของทั้ง 2 ฝ่ายยังคงพูดคุยกันและอำนวยความสะดวกให้แก่การผ่านแดนระหว่างกัน แขมร์ไทมส์รายงานว่า ไทยตัดสินใจปรับเปลี่ยนเวลาเปิดปิดประตูแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยได้ปรับเปลี่ยนเวลาเปิดปิดจุดผ่านแดนถาวรที่เป็นด่านสากลทั้งหมดเป็น 08.00-16.00 น. และปิดประตูที่เป็นด่านทวิภาคี.-814.-สำนักข่าวไทย

Colombian Senator Miguel Uribe

ลอบยิงผู้สมัคร ปธน.โคลอมเบีย เป็นตายเท่ากัน

โบโกตา 8 มิ.ย. – หนึ่งในผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีโคลอมเบียถูกลอบยิงอย่างอุกอาจ ระหว่างปราศรัยหาเสียงต่อหน้าฝูงชนจำนวนมากในกรุงโบโกตา ภรรยาระบุว่า ขณะนี้อาการเป็นตายเท่ากัน คลิปเหตุการณ์ที่มีผู้บันทึกไว้ได้ เผยให้เห็นวินาทีที่นายมิเกล อูริเบ สมาชิกวุฒิสภา วัย 39 ปี หนึ่งในผู้สมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีโคลอมเบียปี 2569 ถูกมือปืนยิงหมายลอบสังหารขณะกำลังยืนปราศรัยหาเสียงต่อหน้าประชาชนจำนวนมากภายในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งในกรุงโบโกตาเมื่อช่วงบ่ายวานนี้ตามเวลาท้องถิ่น ผู้คนในที่เกิดเหตุพากันกรีดร้องตกใจ จากนั้นมีเสียงปืนตามมาอีกหลายนัด คาดว่าเป็นการยิงปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของอูริเบกับมือปืน มีรายงานผู้ถูกยิงบาดเจ็บเพิ่มอีก 1 คน ขณะที่นายอูริเบซึ่งถูกยิงเลือดอาบ ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงอย่างเร่งด่วน พรรคศูนย์กลางประชาธิปไตยซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านที่นายอูริเบสังกัดอยู่ออกแถลงการณ์ประณามและเปิดเผยเพียงสั้น ๆ ว่า คนร้ายยิงจากด้านหลัง ขณะที่สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานอ้างเจ้าหน้าที่แพทย์ว่า เขาถูกยิงเข้าที่ศีรษะ 2 นัด และเข้าที่เข่า 1 นัด ภรรยาของเขาโพสต์ในเอ็กซ์ (X) ว่า สามีอาการเป็นตายเท่ากัน รัฐบาลโคลอมเบียแจ้งในเวลาต่อมาว่า ตำรวจจับกุมผู้ต้องสงสัย 1 คน ซึ่งยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่ในที่เกิดเหตุ และกำลังสอบสวนว่ามีผู้เกี่ยวข้องอีกหรือไม่ โดยได้ตั้งเงินรางวัล 730,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 24 ล้านบาท) แก่ผู้แจ้งเบาะแส สื่อท้องถิ่นรายงานว่า […]

สนามบินพร้อมสกัดกลุ่มเทาต่างชาติบินเข้าไทย หลังคุมเข้มเข้า-ออกด่านบก

7 มิ.ย. – ตามที่รัฐบาลมีนโยบายควบคุมการเข้า-ออกด่านชายแดนทางบก และมีคำสั่งจากกองทัพบกให้อำนาจกองทัพภาคที่ 1 และ 2 พิจารณาคัดกรองการเข้าออกด่านชายแดนทางบก โดยเฉพาะ จ.จันทบุรี และสระแก้ว โดยมีผลตั้งแต่ 7 มิ.ย.2568 ในส่วนของการเข้าทางอากาศ โดยเฉพาะทางสนามบินสุวรรณภูมิ และดอนเมือง ซึ่งคาดว่าจะมีกลุ่มต่างชาติที่ใช้เส้นทางเข้าออกไทย-กัมพูชา หันมาเดินทางเข้าแทนช่องทางบกนั้น วันนี้ (7 มิ.ย.2568 ) พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ผบก.ตม.2 เปิดเผยว่า ตม.สนามบิน พร้อมขานรับนโยบาย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร ที่มีจุดยืนด้านความมั่นคงชัดเจน โดยเฉพาะ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. ได้เคยกำชับการสกัดกั้นคนต่างชาติที่มีพฤติกรรมเข้าออกประเทศด้วยฟรีวีซ่าที่ผิดวัตถุประสงค์ และกลุ่มที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด โดยเฉพาะแก็งค์คอลเซ็นเตอร์ และการพนันออนไลน์ ซึ่งอาจใช้ไทยเป็นแหล่งทำธุรกิจฟอกเงิน จากการทำธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศเพื่อนบ้าน และการปิดด่านชายแดน อาจมีกลุ่มต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ใช้เส้นทางเข้าไทยทางเครื่องบินแทนการผ่านแดนทางบก ทาง บก.ตม.2 จึงมีการสั่งการกำชับให้ด่าน ตม.สนามบินในสังกัด โดยเฉพาะสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เพิ่มความเข้มในการเฝ้าสังเกตสกัดกั้นคนต่างชาติลักษณะเสี่ยงดังกล่าว โดยเน้นต่างชาติกลุ่มเฝ้าระวังสัญชาติเพื่อนบ้านที่มีลักษณะการใช้ฟรีวีซ่าเข้าออกผิดประเภท […]

ข่าวแนะนำ

“ภูมิธรรม” ชี้กัมพูชาถอย เป็นความสำเร็จเจรจา “ฮุนเซน-ฮุนมาเนต”

ทำเนียบ 9 มิ.ย.-“ภูมิธรรม” ชี้กัมพูชายอมถอย เป็นความสำเร็จจากการเจรจา “ฮุนเซน-ฮุนมาเนต” และพูดคุยในทุกระดับ โยน กองทัพพิจารณามาตรการปิดด่าน เชื่อสถานการณ์จะค่อยๆ คลี่คลาย ย้ำถก JBC ยึดกรอบเดิม ไม่มีคุยปม 3 ปราสาท หวังความชัดเจนเส้นเขตแดน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังกัมพูชายอมถอนกำลังออกจากจุดประทะ และกลับไปอยู่ ในจุดที่เคยอยู่เมื่อปี 2567 ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากหลายปัจจัย และเป็นขบวนการที่พยายามพูดคุยกันทุกระดับ ตั้งแต่ระดับนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี จนไปถึงระดับกองทัพ โดยมีทูตทหารของไทยในกัมพูชาเป็นผู้ประสานงาน ซึ่งการพูดคุยมีมาอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงเมื่อวาน เวลาประมาณ 11.00 น. ซึ่งสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา และอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ก็เห็นตรงกันว่าอยากหาข้อยุติที่เป็นสันติด้วยกัน เพราะการทำสงครามมันไม่มีประโยชน์ ซึ่งตนได้แจ้งว่า ในฐานะที่เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่เป็นผู้รับผิดชอบการสั่งให้รบกันมันง่าย แต่ความสูญเสียจะเกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย ดังนั้น สิ่งสำคัญคือจะทำอย่างไรให้ทุกอย่างยุติ โดยไม่เกิดความสูญเสีย สิ่งสำคัญคือ เราอยากลดการเผชิญหน้า ซึ่งจากการพูดคุยพบว่ามี มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนทั้งสองฝ่าย จึงเหมือนว่าการคุยกันยังไม่ยุติ จึงต้องพูดคุยกันใหม่ […]

ลอบวางระเบิด 2 จุด กลางตลาดโต้รุ่งเมืองปัตตานี

ปัตตานี 8 มิ.ย. – คนร้ายลอบวางระเบิดกลางตลาดโต้รุ่ง เขตเทศบาลเมืองปัตตานี รถจักรยานยนต์เสียหาย 2 คัน เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต วันที่ 8 มิ.ย.68 เวลา 20.00 น. เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบกลุ่มจำนวน ลอบวางระเบิดแสวงเครื่อง จำนวน 2 ลูก โดยจุดแรก วางระเบิดในถังขยะ หน้าร้านทอง บริเวณตลาดโต้รุ่ง เขตเทศบาลเมืองปัตตานี เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต รถจักรยานยนต์ได้รับความเสียหาย จำนวน 2 คัน และจุดที่ 2 วางระเบิดในถังขยะ บริเวณในซอยข้างโรงแรม หลังตลาดโต้รุ่ง เขตเทศบาลเมืองปัตตานี เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต การก่อเหตุครั้งนี้ คาดว่าเป็นการก่อเหตุเพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ตามข้อมูลข่าวสารที่หน่วย ส.จว.ปัตตานี ได้ออกข่าวแจ้งเตือนไปแล้ว เมื่อวันที่ 26 พ.ค.68 เวลา 15.00 น. ปรากฏข่าวสารว่า นายมะกอเซ็ง หม้าแอ สมาชิก ผกร.ระดับปฏิบัติการ และสมาชิกจำนวน […]

นายกฯ เผยหารือกัมพูชา ตกลงปรับกำลังทหารทั้ง 2 ฝ่าย ลดเผชิญหน้า

ทำเนียบรัฐบาล 8 มิ.ย. – นายกฯ เผยหารือกับรัฐบาลกัมพูชา ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงจะร่วมกันปรับกำลังทหาร จุดที่มีการกระทบกระทั่ง เพื่อลดการเผชิญหน้า เดินหน้าใช้กลไก JBC 14 มิ.ย.นี้ นำพาความสัมพันธ์เข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดีย ระบุว่า ความพยายามคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดน โดยการปฏิบัติงานของทั้งระดับนโยบาย โดยรัฐบาล ฝ่ายความมั่นคง กองทัพ กระทรวงการต่างประเทศ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับค่ะ ดิฉันได้หารือกับรัฐบาลกัมพูชา มีข้อสรุปที่ส่งผลดีต่อสถานการณ์ โดยทั้ง 2 ฝ่ายตกลงจะร่วมกันปรับกำลังทหาร ณ จุดที่มีการกระทบกระทั่ง เพื่อลดบรรยากาศการเผชิญหน้า และจะพัฒนาความร่วมมือโดยใช้กลไก JBC ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ และจะมีการพูดคุยกันในทุกระดับ เพื่อนำพาความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วค่ะ ขอให้พี่น้องประชาชนติดตามสถานการณ์และข้อเท็จจริงจากรัฐบาล พร้อมทั้งเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานจนประสบผลสำเร็จต่อไป สุดท้ายนี้ ขอให้พี่น้องประชาชนได้โปรดคลายความกังวล และมีความมั่นใจในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลว่า จะไม่มีเหตุกระทบกระทั่งที่รุนแรงเกิดขึ้นแน่นอนค่ะ.-316-สำนักข่าวไทย

โฆษก ทบ. ยันทหารกัมพูชายอมถอนกำลัง-กลบคูเลต ลดตึงเครียด

8 มิ.ย. – โฆษก ทบ. ยืนยันทหารกัมพูชายอมถอนกำลังกลับไปอยู่จุดเดิม พร้อมกลบคูเลตให้คืนสู่สภาพเดิม หลังบรรลุข้อตกลงการหารือ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ในพื้นที่พิพาทบริเวณช่องบก ลดความตึงเครียด วันนี้ (8 มิ.ย.68)​ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ฝ่ายกัมพูชา นำโดย พล.ท.สรัย ดึก รองผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ได้เชิญฝ่ายทหารไทย โดย พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เข้าร่วมหารือ เพื่อเจรจาเกี่ยวกับกรณีปัญหาการรุกล้ำดินแดนในพื้นที่พิพาทบริเวณช่องบก จากการหารือเบื้องต้น ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงในประเด็นสำคัญ คือ ฝ่ายทหารกัมพูชายินยอมถอนกำลังกลับไปยังจุดที่เคยประจำการอยู่เดิม ซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณที่เกิดเหตุปะทะ หรือแนวต้นพญาสัตบรรณ ลึกเข้าไปในเขตแดนของประเทศกัมพูชา จุดดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชาเคยใช้เป็นแนววางกำลังฐานมาโดยตลอดในอดีต นอกจากนี้ ฝ่ายกัมพูชายังแสดงความยินยอมที่จะดำเนินการกลบคูเลตให้กลับคืนสู่สภาพธรรมชาติตามเดิม ตามข้อเสนอของฝ่ายไทย เพื่อเป็นการลดความตึงเครียด และสร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือ ภายหลังจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันที่จะใช้กลไกระดับคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น เป็นช่องทางในการหารือแนวทางบริหารจัดการพื้นที่อย่างเหมาะสมและยั่งยืนต่อไป.-313-สำนักข่าวไทย