“ไม่ซ้ำ ไม่ง่าย ไม่บอก”
ในยุคที่ภัยไซเบอร์พัฒนาไปไกล ไม่ว่าจะเป็น AI ลิงก์ปลอม หรือข่าวลวงที่แนบเนียนขึ้นทุกวัน หลายคนอาจมองว่าการป้องกันตัวเป็นเรื่องยาก แต่แท้จริงแล้ว เกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดเริ่มต้นได้จากตัวเราเอง ซึ่งการ “ติดอาวุธ” ให้กับชีวิตดิจิทัลไม่ใช่ที่เรื่องซับซ้อน เพียงแค่สร้าง 3 ด่านป้องกันขั้นพื้นฐาน เพื่อหลีกเลี่ยงกับดักและลดความเสี่ยงได้อย่างมหาศาล
ด่านที่ 1: รหัสผ่าน – ประตูบานแรกสู่โลกดิจิทัล
เนื่องจาก “รหัสผ่านคือปราการด่านแรกที่สำคัญที่สุด” และ “รหัสผ่านที่ดี” คือ “รหัสผ่านที่ปลอดภัย” ดังนั้น ในการตั้งรหัสผ่านให้ปลอดภัย จึงควรมีความยาวอย่างน้อย 8-12 ตัว และประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่, ตัวอักษรพิมพ์เล็ก, ตัวเลข และสัญลักษณ์พิเศษ
หัวใจสำคัญ 3 ประการในการตั้งรหัสผ่านที่ปลอดภัยคือ “ไม่ซ้ำ ไม่ง่าย ไม่บอก”
- ไม่ซ้ำ: หลีกเลี่ยงการใช้รหัสผ่านเดียวกันในหลายบริการ หากจำเป็นต้องใช้รหัสผ่านที่คล้ายกัน ให้ปรับเปลี่ยนเล็กน้อยเพื่อสร้างความแตกต่าง เช่น เพิ่มชื่อแพลตฟอร์มต่อท้ายรหัสผ่านเดิม
- ไม่ง่าย: ไม่ควรใช้ข้อมูลส่วนตัวที่คาดเดาง่าย เช่น ชื่อเล่น วันเกิด หรือคำศัพท์ในพจนานุกรม เลขเรียง (123456789) หรือคำว่า “password” เพราะรหัสผ่านเหล่านี้คาดเดาได้ง่ายและติดอันดับคำที่ถูกแฮกบ่อยที่สุดทุกปี
- ไม่บอก: ห้ามเปิดเผยรหัสผ่านให้ผู้อื่นทราบโดยเด็ดขาด แม้แต่คนใกล้ชิด เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหลในอนาคต
7 ทริกสร้างรหัสผ่านขั้นเทพที่จำง่าย แต่แฮกยาก
รายการ “ชัวร์ก่อนแชร์ วัคซีนไซเบอร์” ได้ให้คำแนะนำ “7 ทริกตั้งรหัสผ่านให้ปลอดภัย” ไว้ดังนี้
- รหัสดี มีเอกลักษณ์
นำข้อมูลส่วนตัวมาดัดแปลงให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น เปลี่ยน O เป็น 0 หรือ i เป็น ! เป็นต้น - อักษรซ่อนรหัสลับ
ลากเส้นเป็นรูปตัวอักษรบนคีย์บอร์ด เช่น ลากเป็นรูปตัว V อาจได้รหัสเป็น 1QAZSE4 - สลับโหมดแป้นพิมพ์
พิมพ์ประโยคภาษาไทยที่คุ้นเคยในขณะที่แป้นพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ - กระหยิ่มใจ ใช้บทเพลง
นำตัวอักษรแรกของเนื้อเพลงท่อนที่ชอบ หรือจำได้ง่าย มาแปลงเป็นรหัสผ่านแบบคาราโอเกะ - เพ่งรหัส เสริมเรื่องราว
สร้างชุดคำว่า “ใคร ทำอะไร ที่ไหน” แล้วนำมาย่อเป็นรหัส - ตัวต้นจาก Account
นำอักษรย่อของแพลตฟอร์ม (เช่น FB, IG) มาผสมในรหัสผ่าน - พร้อมปรับตามวันเวลา
ควรเปลี่ยนรหัสผ่านทุก 3 เดือน โดยอาจนำวันที่เปลี่ยนมาเป็นส่วนหนึ่งของรหัสใหม่
ด่านที่ 2: เกราะชั้นที่สองด้วย 2FA
การยืนยันตัวตน 2 ขั้นตอน (2-Factor Authentication – 2FA) เป็นการยกระดับความปลอดภัยอีกขั้นหนึ่งหลังจากป้อนรหัสผ่าน โดยระบบจะส่งรหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว (OTP) ไปยังโทรศัพท์มือถือของคุณ เพื่อให้คุณยืนยันตัวตนอีกครั้ง วิธีนี้ช่วยป้องกันไม่ให้แฮกเกอร์เข้าถึงบัญชีของคุณได้ แม้ว่าพวกเขาจะรู้รหัสผ่านก็ตาม หากไม่มีรหัส OTP จากมือถือของคุณ ก็จะไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้
ปัจจุบันแพลตฟอร์มออนไลน์ส่วนใหญ่ เช่น Google และ Facebook มีฟังก์ชันนี้ให้ผู้ใช้เปิดใช้งานได้ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับบัญชีของตนเอง
ตัวอย่างการตั้งค่าการยืนยันตัวตน 2 ขั้นตอนใน Google
- คลิกที่รูปโปรไฟล์ของคุณที่มุมขวาบน
- เลือก “จัดการบัญชี Google”
- ในเมนูด้านซ้าย เลือก “ความปลอดภัย”
- มองหา “การยืนยันตัวตนแบบ 2 ขั้นตอน” แล้วคลิก
- กด “เริ่มต้นใช้งาน” และกรอกรหัสผ่านบัญชีของคุณ
- ใส่เบอร์โทรศัพท์เพื่อยืนยันตัวตน จากนั้นกรอกรหัส OTP ที่ได้รับทาง SMS
ด่านที่ 3: ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว – กำหนดขอบเขตให้ชีวิตออนไลน์
การตั้งค่าความเป็นส่วนตัว (Privacy Settings) คือการกำหนดว่าใครจะสามารถเข้าถึงข้อมูลออนไลน์ของเราได้บ้าง เช่น ชื่อ, อีเมล, รูปภาพ, ตำแหน่งที่อยู่ และความสนใจต่าง ๆ ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มออนไลน์หลายแห่งที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถปรับตั้งค่านี้ได้ เช่น Facebook, Line, และ Instagram
สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่าข้อมูลบางอย่างไม่ควรเปิดเผยต่อสาธารณะโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพนำไปใช้ในทางที่ผิดได้
7 สิ่งต้องห้าม ! อย่าโพสต์ลงโซเชียลมีเดียเด็ดขาด
- บัตรประชาชนและบัตรที่ทางราชการออกให้
เนื่องจากข้อมูลส่วนตัวและบาร์โค้ดอาจถูกผู้ไม่หวังดีนำไปแอบอ้างหรือใช้ประโยชน์ได้ - บัตรเครดิต / เดบิต หรือบัตรนักเรียนนักศึกษาที่เชื่อมโยงกับธนาคาร
ถึงแม้ตัวเลขจะถูกเบลอไว้ แต่ข้อมูลบางส่วนก็ยังสามารถนำไปใช้ในการหลอกลวงได้ - ใบแจ้งหนี้ บิลค่าสาธารณูปโภค (ค่าน้ำ, ค่าไฟ) และสลิปทางการเงิน
ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขสมาชิก ข้อมูลบัตรเครดิต รวมถึงการกล่าวถึงทรัพย์สิน ถือเป็นข้อมูลที่ล่อแหลมและอาจทำให้ผู้ไม่หวังดีสวมรอยเข้าถึงบัญชีของคุณได้ - สิ่งที่ทำซ้ำได้
ตัวอย่างเช่น กุญแจบ้าน กุญแจรถ หรือแม้แต่ภาพถ่ายที่แสดงสองนิ้ว ก็อาจเสี่ยงต่อการถูกขโมยลายนิ้วมือได้ - ตั๋วเครื่องบิน
ปกปิดข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ, หมายเลขการจอง, จุดหมายปลายทาง, วันที่และเวลาเดินทาง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ไม่หวังดีนำไปเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกตั๋ว รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลบัตรเครดิต - หนังสือเดินทาง (Passport)
เป็นเอกสารสำคัญที่บรรจุข้อมูลส่วนตัวเช่นเดียวกับบัตรประชาชนที่สามารถนำไปใช้ในการปลอมแปลงตัวตนได้ - สถานะและแท็กสถานที่แบบ Real-time
การเปิดเผยตำแหน่งที่เราอยู่หรือไม่อยู่บ้าน อาจทำให้มิจฉาชีพรู้เวลาที่เหมาะสมในการก่อเหตุ หรือทำให้ผู้ไม่หวังดีสามารถติดตามเราได้
การป้องกันตนเองในโลกไซเบอร์อาจดูเป็นเรื่องซับซ้อน แต่เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยสุขอนามัยทางดิจิทัล การสร้าง รหัสผ่าน ที่คาดเดายาก การเปิดใช้ 2FA เพื่อเพิ่มความปลอดภัยอีกชั้น และการบริหารจัดการ ความเป็นส่วนตัว อย่างรอบคอบ เป็นสามหลักการสำคัญที่ช่วยปกป้อง “บ้าน” ดิจิทัลของเราให้รอดพ้นจากผู้ไม่หวังดี ในโลกที่ทุกสิ่งเชื่อมโยงถึงกัน การระมัดระวังและไม่ประมาทจึงเป็นอาวุธที่ดีที่สุดที่เราทุกคนควรมีติดตัว
หมายเหตุ: บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทความชุด “Sure” Cyber Unlock ถอดสลักกับดักไซเบอร์ อันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “นักสืบสายชัวร์ 404: ถอดสลักกับดักไซเบอร์”
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมของโครงการได้ทาง Facebook เพจ “ชัวร์ก่อนแชร์”
หรือเพจ “นักสืบสายชัวร์ ชัวร์ก่อนแชร์สโมสร”
28 สิงหาคม 2568
ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์
สำนักข่าวไทย อสมท
ทีมข่าวไซเบอร์ กฤษณา กาญจนเพ็ญ
หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare
สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter