กรุงเทพฯ 24 ก.ค.-กลุ่มนักลงทุนผู้เสียหายกองทุนหุ้นSTARKร้องก.ล.ต.แล้ว หลังขาดทุนกองLTF RMF คาดบางกองอาจขาดทุนอ่วม3,500ล้าน ด้านก.ล.ต.เผยเร่งตรวจสอบ
วันนี้(24กรกฎาคม) เวลา11.00 น.ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) นายสิทธา สุวิรัชวิทยกิจ และกลุ่มผู้เสียหายหน่วยลงทุน ได้เป็นตัวแทนเข้าร้องเรียนต่อสำนักงานก.ล.ต. ขอให้เป็นตัวแทนของผู้เสียหายที่ลงทุนกองทุนเพื่อประหยัดภาษีLTF RMF และกองทุนอื่นๆ สืบสวนสอบสวนและแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีต่อผู้จัดการกองทุน คณะผู้บริหาร และบริษัทจัดการกองทุน(บลจ.)แห่งหนึ่ง ที่ลงทุนหุ้น STARK ในฐานะความผิดต่อ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มาตรา 124/1 โดยมีดร.อุรสา บรรณกิจโศภณ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร เป็นผู้แทนรับหนังสือร้องเรียน
โดยหนังสือร้องเรียนได้กล่าวหาว่า กองทุนผู้กระทำความผิด ไม่ได้จัดการกองทุนด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและระมัดระวังรักษาประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน มีลักษณะไม่เป็นธรรมต่อผู้ถือหน่วยลงทุน ทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเสียผลประโยชน์อันพึงได้รับ ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน2ปี และโทษปรับไม่เกิน5แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ กับขอให้ก.ล.ต. เป็นตัวแทนของผู้เสียหายดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดให้เยียวยาชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นในทางแพ่งอีกด้วย
เนื้อหาในหนังสือร้องเรียนแจ้งว่า นักลงทุนที่ได้ลงทุนผ่านกองทุนต่างๆ ตระหนักและเข้าใจข้อจำกัดในการลงทุนดีว่าย่อมมีทั้งผลตอบแทนและความเสี่ยง แต่กรณีที่ต้องมาร้องเรียนเนื่องจากไม่ได้เป็นไปตามสภาพการลงทุนตามปกติวิสัย แต่มาจากการกระทำผิดกฎหมายในหลากหลายประเด็น เช่น มีพฤติการณ์ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อผู้ถือหน่วยลงทุน โดยเห็นได้จากกองทุนนี้ได้เข้าไปลงทุนหุ้นSTARKเอาไว้มากถึง 916 ล้านหุ้น ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2565 โดยมีราคาต้นทุนตั้งแต่3.72บาท ไปถึง5 บาท ต่อมาเมื่อเกิดปัญหาSTARKยกเลิกดีลการซื้อกิจการบริษัทLEONIประเทศเยอรมันในเดือนธันวาคม 2565 แล้ว กองทุนอื่นๆพากันปรับพอร์ตขายหุ้นSTARKออกไป เพราะเห็นว่าไม่เป็นไปตามแผนงาน และอาจกระทบต่อผลดำเนินงานทางลบได้ แต่กองทุนนี้กลับถือครองหุ้นเอาไว้จำนวนมาก
กระทั่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้พักการซื้อขาย4เดือน มาเปิดให้ซื้อขาย1เดือนสุดท้าย ระหว่างวันที่1ถึง30มิถุนายน 2566 ทางผู้กระทำผิดก็ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อผู้ถือหน่วยลงทุนว่าเหลือหุ้นในมือเพียงเล็กน้อย แต่ต่อมาผู้กระทำผิดได้แจ้งต่อสำนักงานก.ล.ต.ในวันที่ 23 และ 27 มิถุนายน 2566 ว่ายังคงถือครองหุ้นไว้มากถึง 670 ล้านหุ้น และต่อมาได้ขายออกไปหมด ก่อนจะถึงวันสุดท้ายที่ตลาดฯให้ซื้อขายได้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2566 ซึ่งช่วงดังกล่าวราคาหุ้นเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับราคา 1 ถึง 4 สตางค์ ก็จึงน่าจะเหลือมูลค่าที่ขายได้ไม่เกิน 20 ล้านบาท จากต้นทุนที่มีอยู่ราว 3,850 ล้านบาท ประมาณการณ์ว่าคงจะขาดทุนสุทธิมากกว่า3,500ล้านบาท หรืออย่างต่ำก็ไม่น่าจะน้อยกว่า2,600ล้านบาท
ทางด้านดร.อุรสา ผู้แทนของสำนักงานคณะกรรมการก.ล.ต.กล่าวว่า เมื่อสำนักงานคณะกรรมการก.ล.ต.ได้รับหนังสือร้องเรียนแล้วก็จะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และเชิญทั้งผู้เสียหาย และบลจ.กองทุนที่ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหามาให้ข้อมูลข้อเท็จจริง โดยพิจารณาให้ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย และดำเนินตามกฏหมายต่อไป.-สำนักข่าวไทย