กลุ่ม ปตท.จัดงานโชว์สุดยอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมนำอนาคต

กรุงเทพ 1 มี.ค.-กลุ่ม ปตท.ขนทัพเทคโนโลยี นวัตกรรม และธุรกิจใหม่ปตท. จัดแสดง 28 ก.พ. – 3 มี.ค. นี้ ณ ปตท. สํานักงานใหญ่ พบผู้นำด้านนวัตกรรมสุดล้ำ พร้อมอัปเดตเทรนด์เทคโนโลยีแห่งอนาคต รวมทั้งนําเสนอนวัตกรรมและธุรกิจใหม่ของกลุ่ม ปตท.ที่พร้อมจับมือต่อยอดและขยายโอกาสสู่ธุรกิจที่ไกลกว่าพลังงาน


นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และ นายวราวุธ ศิลปอาชารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมเป็นประธานและกล่าวปาฐกถาพิเศษด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ในพิธีเปิดงาน  PTT Group Tech and Innovation Day ที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด”Beyond Tomorrow:นวัตกรรม นำอนาคต”โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ ประธานกรรมการบริษัทปตท.จำกัด(มหาชน) นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปตท.จำกัด(มหาชน)และ ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐานบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) พร้อมผู้บริหาร ปตท.พันธมิตรภาครัฐและเอกชนชั้นนำเข้าร่วม

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) กล่าวว่างาน  PTT Group Tech and Innovation Day จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ถึง วันที่ 3 มีนาคม 2566 เป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญเพื่อแสดงศักยภาพด้านเทคโนโลยีและการลงทุนด้านนวัตกรรมของกลุ่ม ปตท.ตลอดจนสร้างการรับรู้ของเทคโนโลยีในอนาคตและหาโอกาสต่อยอดความร่วมมือทางธุรกิจใหม่ทั้งจากภายในกลุ่ม ปตท.และหน่วยงานภายนอก เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ความเป็นกลางทางคาร์บอน และ Net Zero Emissions การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ 


ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ประกอบด้วย

1.นิทรรศการ แสดงผลงานทางด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และธุรกิจใหม่จาก กลุ่ม ปตท. ใน 7 ด้าน ประกอบด้วยFuture Energy, Future Mobility, Life Science, AI, Robotics & Digitalization, Logistics & Infrastructure, Decarbonization และ Innovation Ecosystem ที่มีส่วนในการช่วยสร้างสรรค์และยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนในสังคม อาทิ การดูแลสิ่งแวดล้อมจากพลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า สุขภาพและการแพทย์จากวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต สิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวันของภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมจากระบบการขนส่งโครงสร้างพื้นฐาน หุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติและปัญญาประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบัน

2.Tech Talk เวทีแลกเปลี่ยนแนวคิด และเทรนด์เทคโนโลยี นวัตกรรมที่น่าจับตาจากภาครัฐที่ขับเคลื่อนนโยบายและผู้นำด้านนวัตกรรมกว่า 23 หัวข้อ


3.Pitching Desk พื้นที่นำเสนอนวัตกรรมและธุรกิจใหม่ของกลุ่ม ปตท. กว่า 30 แบรนด์ ที่พร้อมให้นักลงทุนและผู้สนใจได้ร่วมพูดคุย ต่อยอดและขยายโอกาสการเติบโตสู่ธุรกิจที่ไกลกว่าพลังงานไปด้วยกัน ตลอดจนจะได้พบกับสินค้านวัตกรรมที่พร้อมให้ช้อป ชิมจากกลุ่ม ปตท. อาทิ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจาก Innobic, น้ำเชื่อมหญ้าหวานNatural Nxt, , อาหารโปรตีนจากพืช NRPT, ไอศกรีมกะทิสดแท้ Kathisod Station และผลิตภัณฑ์รักษ์โลกจากMORE

ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า งาน PTT Group Tech & Innovation Day ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรก โดยตลอดทั้ง 4 วัน นอกจากผลงานต่างๆ ที่มีการนำเสนอภายในงานแล้ว กลุ่ม ปตท. ยังคงมุ่งมั่นพัฒนา เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ตลอดจนเดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ ให้ตอบโจทย์การดูแล สิ่งแวดล้อม เทรนด์การใช้ชีวิตของผู้คนและความต้องการของภาคธุรกิจ ที่จะมีความหลากหลายมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ เพื่อเป็นอีกหนึ่งกำลังสาคัญที่จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตเป็นที่ยอมรับท้ังในภูมิภาคอาเซียนและเวทีโลก พร้อมขับเคลื่อนทุกชีวิตด้วยพลังแห่งอนาคตได้ตามวิสัยทัศน์ของ ปตท.

นายสุพัฒนพงษ์ ยังได้กล่าวปาฐกถา เปิดงาน PTT Group Tech & Innovation Day ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศที่เป็นปัญหาสำคัญของโลก จนส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีพลังงานจากการใช้พลังงานแบบดั้งเดิม(ฟอสซิล) ไปสู่การใช้พลังงานสะอาด เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และประเทศไทย จำเป็นต้องดำเนินการตามกติกาของโลก โดยวางโรดแมป การมุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality 2050 ภายใต้การดำเนินงานใน 6 แผนงาน ประกอบด้วย 

1.ภาคไฟฟ้า จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด เช่น โซลาร์ ลม ให้มากกว่า 50% ภายในปี 2586 (ค.ศ.2043) 

2. ภาคขนส่ง มุ่งส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี) ตามนโยบาย 30@30 และการลงทุนในสถานีอัดประจุไฟฟ้า และแบตเตอรี่ 

3.ภาคอุตสาหกรรม อาคาร ที่อยู่อาศัย จะต้องเพิ่มประสิทธิภาพการอนุรักษ์พลังงาน ลดความเข้มการใช้พลังงาน40% ในปี 2593 (ค.ศ.2050)

 4. การลดนอกเหนือจากภาคพลังงาน(กระบวนการอุตสาหกรรม เกษตร ของเสีย)

 5. ปลูกป่า 

และ6. ส่งเสริมมาตรการและเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น Carbon Capture Utilization and Storage (CCUS)

ทั้งนี้ เชื่อว่าจากโรดแมปดังกล่าว ประเทศไทยอาจไปถึงเป้าหมายได้เร็วกว่าแผน โดยเฉพาะหากมี CCUS เกิดขึ้น ซึ่งวันนี้ กฟผ. ก็เข้าไปดูพื้นที่เหมืองแม่เมาะ ร่วมกับ ปตท.สผ. เพื่อพัฒนาเป็น CCUS และก็ดูพื้นที่ในอ่าวไทย ขณะเดียวกัน กลุ่มปตท.เอง ก็ได้ไปจัดวางพอร์ตลงทุนสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ด้วย ฉะนั้นไทยจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้แน่นอน

อย่างไรก็ตาม ปตท.อาจจะมีความกังวลเรื่องการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานจากฟอสซิล ไปสู่พลังงานสะอาด แต่หากปตท.ปรับตัวได้ทันผันไปสู่การลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตวกรรมพลังงานรูปแบบใหม่ๆมากขึ้น ก็จะเกิดอุตสาหกรรมใหม่เข้ามาแทนที่ ซึ่งในช่วงกว่า 3 ปีที่ผ่านมา ปตท.ก็มีการปรับตัวเข้าไปศึกษาและแสวงหาโอกาสการลงทุนด้านพลังงานใหม่ร่วมกับพันธมิตร และวันนี้ สิ่งที่ปตท.ได้ดำเนินการไว้กำลังจะออกดอกและผลให้กับ ปตท.ในอนาคต และจะเกิดเป็นอุตสาหกรรมใหม่ของประเทศ

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมารัฐบาล ได้เตรียมความพร้อมส่งเสริมการลงทุนพลังงานสะอาดทั้งการเปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 5,000-10,000 เมกะวัตต์ ส่งเสริมการตั้งฐานผลิตรถอีวี แบตเตอรี่ และที่สำคัญแม้ว่าไทยจะเป็นฐานการผลิตรถยนต์แต่ในส่วนของอิเล็กทรอนิกส์ยังต้องพึ่งพาชิ้นส่วนจากต่างประเทศ 30% แต่จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศทำให้ผู้ผลิตลังเลและตัดสินใจย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นแทน เช่น มาเลเซีย และสิงคโปร์ แต่วันนี้ประเทศจะดึงผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์กลับมา ขณะเดียวกันกลุ่มปตท.ก็มีการลงทุนในด้านนี้ด้วยก็เชื่อว่าจะกลายเป็นธุรกิจใหม่ในอนาคต

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวย้ำว่า วันนี้ ทุกคนจะหันกลับมาประเทศไทยแล้ว และยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ล่าสุดปี2565 อยู่ที่ระดับ 6.6 แสนล้านบาท ถือเป็นทิศทางการลงทุนที่ดีมาก ซึ่งในอดีตยอดขอ BOI เคยไปแตะ 1 ล้านล้านบาท ฉะนั้น ถ้าไทยสร้างฐานดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนก็จะไปแตะ 1 ล้านล้านบาทได้ ก็จะเป็นผลพวงให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้

นายนฤตย์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ กล่าวในงานเสวนา “Thailand Strategic Direction for Future” ว่า การขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ หรือ เอฟดีไอในช่วงปี 2558-2565 มีมูลค่ารวม 2.22 ล้านล้านบาท โดยมีประเทศญี่ปุ่นลงทุนเป็นอันดับ 1 คิดเป็น 24% ของมูลค่าเอฟดีไอทั้งหมดซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกแหล่งลงทุนในอนาคตมาจาก ศักยภาพของตลาด,โครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ ,ความพร้อมของบุคลากร ,กฎระเบียบที่เอื้อต่อภาคธุรกิจ, ฐานอุตสาหกรรมสนับสนุน, ต้นทุนที่เหมาะสมและสิทธิประโยชน์จากภาครัฐ ซึ่งในระยะต่อไปจะต้องพิจารณาถึงเรื่องต่างๆเหล่านี้ด้วย เช่น สงครามการค้า ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน การบริหารจัดการสถานการณ์ที่ไม่กระทบธุรกิจและความสามารถในการจัดหาพลังงานหมุนเวียน เป็นต้น

สำหรับจุดแข็งของไทยในการดึงดูดการลงทุนในอดีต คือ โครงสร้างพื้นฐานดี เช่น ไฟฟ้า ประปา ถนน โทรคมนาคมท่าเรือ สนามบินและนิคมอุตสาหกรรม, ฐานอุตสาหกรรมสนับสนุนความพร้อม เช่น วัตถุดิบ ชิ้นส่วนรองรับอุตสาหกรรมต่างๆ, บุคลากรโดยรวมมีคุณภาพ,ตลาดในประเทศมีขนาดใหญ่และมีศักยภาพ,สิทธิประโยชน์แข่งขันได้และสภาพแวดล้อมน่าอยู่ เป็นมิตรกับธุรกิจและมีต้นทุนที่เหมาะสม ส่วนจุดแข็งใหม่ของไทย คือ EEC โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก,Renewable Energy พลังงานทดแทน,Resiliency ความยืดหยุ่น,Ease of Investment and Living in Thailand ความยากง่ายในการลงทุนและการพำนักอาศัยในเมืองไทย รวมทั้ง Conflict-free Zone ความขัดแย้งในเขตปลอดอากร เป็นต้น

ทั้งนี้ มี 5 อุตสาหกรรมที่เรากำลังจะพุ่งเป้าไป คือ 1.BCG โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน 2.EV รถพลังงานไฟฟ้า3.Smart Electronics อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ 4.Digital ดิจิทัล 5.Creative ความคิดสร้างสรรค์

สำหรับแผนยุทธศาสตร์การลงทุนในอีก 5 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2566-2570) คือ 1.การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมและสร้างความเข้มแข็งในห่วงโซ่อุปทาน 2.เร่งเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมอัจฉริยะและยั่งยืน หรือ  Smart and Sustainable Industry 3.ผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศและประตูการค้าการลงทุนของภูมิภาค4.ส่งเสริมเอสเอ็มอีและสตาร์ท อัพ ให้เข้มแข็งและเชื่อมต่อโลก 5.ส่งเสริมการลงทุนตามศักยภาพพื้นที่เพื่อสร้างความเติบโตอย่างทั่วถึง 6.ส่งเสริมการลงทุนเพื่อชุมชนและสังคม และ 7.การส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศเพื่อขยายโอกาสทางเศรษฐกิจในอนาคต.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 ยันไม่เคยสั่งกำลังพลไปเก็บศพเขมร อย่าเชื่อข่าวปลอม

5 ส.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชา บริเวณชายแดน ขออย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เมื่อวันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อโซเชียลมีเดียได้ลงข้อความอันเป็นเท็จ ที่ทำให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิดว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชาที่อยู่บริเวณชายแดนนั้น ตนยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปปฏิบัติอย่างนั้น ผู้เสียชีวิตนั้นเป็นชาวกัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางประเทศไทย “ผมไม่เคยมีคำสั่งแบบนี้ และขอยืนยันว่า ข่าวที่ออกมานั้นเป็นข่าวปลอม ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ“ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว.-313-สำนักข่าวไทย

ทหารไทยยอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง

ศรีสะเกษ 5 ส.ค. – วันนี้ยังมีการเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่พลเรือนฝั่งไทย ส่วนเมื่อคืนนี้ (4 ส.ค.) เป็นคืนแรกของการประชุม GBC ชุด ชรบ.หมู่บ้านแนวชายแดน อ.กันทรลักษ์ จึงออกตรวจตราเข้มข้น ขณะที่ทหารแนวหน้ายอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง ทีมข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา สอบถามถึงเรื่องที่กำลังเป็นประเด็น คือกลิ่นศพของทหารกัมพูชา ทหารยอมรับว่ามีกลิ่นจริง และมีศพทหารกัมพูชาถูกทิ้งไว้จริง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ หากมีหน้ากากอนามัยเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีหน้ากาก N95 ส่งถึงพื้นที่บ้างแล้ว พร้อมขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ส่งกำลังใจ ทหารยังพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ วันนี้ทีมข่าวยังเกาะติดภารกิจเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือนของไทยใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จุดแรก จรวด BM-21 ถูกกัมพูชายิงตกใส่ลงทุ่งนาของชาวบ้าน พื้นที่ ต.ทุ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม วันเดียวกับที่ยิงใส่ปั๊ม ปตท.บ้านผือ โดยห่างกันราว 1 กิโลเมตร ส่วนอีกจุดเป็นการทำลายลูกจรวด PG-7 ที่ถูกยิงจากเครื่องยิงจรวด RPG ตกลงในสวนยางพาราของชาวบ้าน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ที่ถูกพบในสภาพพร้อมทำงาน จุดนี้อยู่ห่างจากชายแดนกัมพูชาเพียง […]

เปิดศักยภาพ Gripen เขี้ยวเล็บใหม่กองทัพอากาศไทย

5 ส.ค. – เปิดคุณสมบัติโดดเด่นของ “กริพเพน” เครื่องบินรบฝูงใหม่ ซึ่งกองทัพอากาศและประเทศไทยกำลังจะทำสัญญาจัดซื้อจากสวีเดน .-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ขึ้นภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท นำร้องเพลงชาติไทย

5 ส.ค.- แม่ทัพภาค 2 ตรวจเยี่ยมภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท ปกป้องอธิปไตย พร้อมร่วมร้องเพลงชาติ เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี พื้นที่ภูมะเขือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยได้ทำการเดินลาดตระเวน ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลที่วางกำลังฐานปฏิบัติการ ทั้งนี้ มีพระสงฆ์จำนวน 3 รูปจากวัดใกล้เคียง มารอแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อมอบวัตถุมงคลและให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมให้พรกำลังพลทุกนาย ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ จากนั้นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ภูมะเขือ โดยเน้นย้ำให้อยู่ในความไม่ประมาท ปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติ ด้วยความปลอดภัยและให้ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี จากนั้น พล.ท.บุญสิน ได้ให้กำลังพลเปลี่ยนธงชาติไทยผืนใหญ่กว่าเดิม นำร้องเพลงชาติบนยอดภูมะเขือร่วมกัน ก่อนเดินทางกลับได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภคและถ่ายรูปร่วมกับกำลังพล -สำนักข่าวไทย