กลุ่ม ปตท.จัดงานโชว์สุดยอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมนำอนาคต

กรุงเทพ 1 มี.ค.-กลุ่ม ปตท.ขนทัพเทคโนโลยี นวัตกรรม และธุรกิจใหม่ปตท. จัดแสดง 28 ก.พ. – 3 มี.ค. นี้ ณ ปตท. สํานักงานใหญ่ พบผู้นำด้านนวัตกรรมสุดล้ำ พร้อมอัปเดตเทรนด์เทคโนโลยีแห่งอนาคต รวมทั้งนําเสนอนวัตกรรมและธุรกิจใหม่ของกลุ่ม ปตท.ที่พร้อมจับมือต่อยอดและขยายโอกาสสู่ธุรกิจที่ไกลกว่าพลังงาน


นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และ นายวราวุธ ศิลปอาชารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมเป็นประธานและกล่าวปาฐกถาพิเศษด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ในพิธีเปิดงาน  PTT Group Tech and Innovation Day ที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด”Beyond Tomorrow:นวัตกรรม นำอนาคต”โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ ประธานกรรมการบริษัทปตท.จำกัด(มหาชน) นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปตท.จำกัด(มหาชน)และ ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐานบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) พร้อมผู้บริหาร ปตท.พันธมิตรภาครัฐและเอกชนชั้นนำเข้าร่วม

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) กล่าวว่างาน  PTT Group Tech and Innovation Day จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ถึง วันที่ 3 มีนาคม 2566 เป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญเพื่อแสดงศักยภาพด้านเทคโนโลยีและการลงทุนด้านนวัตกรรมของกลุ่ม ปตท.ตลอดจนสร้างการรับรู้ของเทคโนโลยีในอนาคตและหาโอกาสต่อยอดความร่วมมือทางธุรกิจใหม่ทั้งจากภายในกลุ่ม ปตท.และหน่วยงานภายนอก เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ความเป็นกลางทางคาร์บอน และ Net Zero Emissions การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ 


ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ประกอบด้วย

1.นิทรรศการ แสดงผลงานทางด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และธุรกิจใหม่จาก กลุ่ม ปตท. ใน 7 ด้าน ประกอบด้วยFuture Energy, Future Mobility, Life Science, AI, Robotics & Digitalization, Logistics & Infrastructure, Decarbonization และ Innovation Ecosystem ที่มีส่วนในการช่วยสร้างสรรค์และยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนในสังคม อาทิ การดูแลสิ่งแวดล้อมจากพลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า สุขภาพและการแพทย์จากวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต สิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวันของภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมจากระบบการขนส่งโครงสร้างพื้นฐาน หุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติและปัญญาประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบัน

2.Tech Talk เวทีแลกเปลี่ยนแนวคิด และเทรนด์เทคโนโลยี นวัตกรรมที่น่าจับตาจากภาครัฐที่ขับเคลื่อนนโยบายและผู้นำด้านนวัตกรรมกว่า 23 หัวข้อ


3.Pitching Desk พื้นที่นำเสนอนวัตกรรมและธุรกิจใหม่ของกลุ่ม ปตท. กว่า 30 แบรนด์ ที่พร้อมให้นักลงทุนและผู้สนใจได้ร่วมพูดคุย ต่อยอดและขยายโอกาสการเติบโตสู่ธุรกิจที่ไกลกว่าพลังงานไปด้วยกัน ตลอดจนจะได้พบกับสินค้านวัตกรรมที่พร้อมให้ช้อป ชิมจากกลุ่ม ปตท. อาทิ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจาก Innobic, น้ำเชื่อมหญ้าหวานNatural Nxt, , อาหารโปรตีนจากพืช NRPT, ไอศกรีมกะทิสดแท้ Kathisod Station และผลิตภัณฑ์รักษ์โลกจากMORE

ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า งาน PTT Group Tech & Innovation Day ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรก โดยตลอดทั้ง 4 วัน นอกจากผลงานต่างๆ ที่มีการนำเสนอภายในงานแล้ว กลุ่ม ปตท. ยังคงมุ่งมั่นพัฒนา เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ตลอดจนเดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ ให้ตอบโจทย์การดูแล สิ่งแวดล้อม เทรนด์การใช้ชีวิตของผู้คนและความต้องการของภาคธุรกิจ ที่จะมีความหลากหลายมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ เพื่อเป็นอีกหนึ่งกำลังสาคัญที่จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตเป็นที่ยอมรับท้ังในภูมิภาคอาเซียนและเวทีโลก พร้อมขับเคลื่อนทุกชีวิตด้วยพลังแห่งอนาคตได้ตามวิสัยทัศน์ของ ปตท.

นายสุพัฒนพงษ์ ยังได้กล่าวปาฐกถา เปิดงาน PTT Group Tech & Innovation Day ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศที่เป็นปัญหาสำคัญของโลก จนส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีพลังงานจากการใช้พลังงานแบบดั้งเดิม(ฟอสซิล) ไปสู่การใช้พลังงานสะอาด เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และประเทศไทย จำเป็นต้องดำเนินการตามกติกาของโลก โดยวางโรดแมป การมุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality 2050 ภายใต้การดำเนินงานใน 6 แผนงาน ประกอบด้วย 

1.ภาคไฟฟ้า จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด เช่น โซลาร์ ลม ให้มากกว่า 50% ภายในปี 2586 (ค.ศ.2043) 

2. ภาคขนส่ง มุ่งส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า(อีวี) ตามนโยบาย 30@30 และการลงทุนในสถานีอัดประจุไฟฟ้า และแบตเตอรี่ 

3.ภาคอุตสาหกรรม อาคาร ที่อยู่อาศัย จะต้องเพิ่มประสิทธิภาพการอนุรักษ์พลังงาน ลดความเข้มการใช้พลังงาน40% ในปี 2593 (ค.ศ.2050)

 4. การลดนอกเหนือจากภาคพลังงาน(กระบวนการอุตสาหกรรม เกษตร ของเสีย)

 5. ปลูกป่า 

และ6. ส่งเสริมมาตรการและเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น Carbon Capture Utilization and Storage (CCUS)

ทั้งนี้ เชื่อว่าจากโรดแมปดังกล่าว ประเทศไทยอาจไปถึงเป้าหมายได้เร็วกว่าแผน โดยเฉพาะหากมี CCUS เกิดขึ้น ซึ่งวันนี้ กฟผ. ก็เข้าไปดูพื้นที่เหมืองแม่เมาะ ร่วมกับ ปตท.สผ. เพื่อพัฒนาเป็น CCUS และก็ดูพื้นที่ในอ่าวไทย ขณะเดียวกัน กลุ่มปตท.เอง ก็ได้ไปจัดวางพอร์ตลงทุนสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ด้วย ฉะนั้นไทยจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้แน่นอน

อย่างไรก็ตาม ปตท.อาจจะมีความกังวลเรื่องการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานจากฟอสซิล ไปสู่พลังงานสะอาด แต่หากปตท.ปรับตัวได้ทันผันไปสู่การลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตวกรรมพลังงานรูปแบบใหม่ๆมากขึ้น ก็จะเกิดอุตสาหกรรมใหม่เข้ามาแทนที่ ซึ่งในช่วงกว่า 3 ปีที่ผ่านมา ปตท.ก็มีการปรับตัวเข้าไปศึกษาและแสวงหาโอกาสการลงทุนด้านพลังงานใหม่ร่วมกับพันธมิตร และวันนี้ สิ่งที่ปตท.ได้ดำเนินการไว้กำลังจะออกดอกและผลให้กับ ปตท.ในอนาคต และจะเกิดเป็นอุตสาหกรรมใหม่ของประเทศ

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมารัฐบาล ได้เตรียมความพร้อมส่งเสริมการลงทุนพลังงานสะอาดทั้งการเปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 5,000-10,000 เมกะวัตต์ ส่งเสริมการตั้งฐานผลิตรถอีวี แบตเตอรี่ และที่สำคัญแม้ว่าไทยจะเป็นฐานการผลิตรถยนต์แต่ในส่วนของอิเล็กทรอนิกส์ยังต้องพึ่งพาชิ้นส่วนจากต่างประเทศ 30% แต่จากปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศทำให้ผู้ผลิตลังเลและตัดสินใจย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นแทน เช่น มาเลเซีย และสิงคโปร์ แต่วันนี้ประเทศจะดึงผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์กลับมา ขณะเดียวกันกลุ่มปตท.ก็มีการลงทุนในด้านนี้ด้วยก็เชื่อว่าจะกลายเป็นธุรกิจใหม่ในอนาคต

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวย้ำว่า วันนี้ ทุกคนจะหันกลับมาประเทศไทยแล้ว และยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ล่าสุดปี2565 อยู่ที่ระดับ 6.6 แสนล้านบาท ถือเป็นทิศทางการลงทุนที่ดีมาก ซึ่งในอดีตยอดขอ BOI เคยไปแตะ 1 ล้านล้านบาท ฉะนั้น ถ้าไทยสร้างฐานดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนก็จะไปแตะ 1 ล้านล้านบาทได้ ก็จะเป็นผลพวงให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้

นายนฤตย์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ กล่าวในงานเสวนา “Thailand Strategic Direction for Future” ว่า การขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ หรือ เอฟดีไอในช่วงปี 2558-2565 มีมูลค่ารวม 2.22 ล้านล้านบาท โดยมีประเทศญี่ปุ่นลงทุนเป็นอันดับ 1 คิดเป็น 24% ของมูลค่าเอฟดีไอทั้งหมดซึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกแหล่งลงทุนในอนาคตมาจาก ศักยภาพของตลาด,โครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ ,ความพร้อมของบุคลากร ,กฎระเบียบที่เอื้อต่อภาคธุรกิจ, ฐานอุตสาหกรรมสนับสนุน, ต้นทุนที่เหมาะสมและสิทธิประโยชน์จากภาครัฐ ซึ่งในระยะต่อไปจะต้องพิจารณาถึงเรื่องต่างๆเหล่านี้ด้วย เช่น สงครามการค้า ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน การบริหารจัดการสถานการณ์ที่ไม่กระทบธุรกิจและความสามารถในการจัดหาพลังงานหมุนเวียน เป็นต้น

สำหรับจุดแข็งของไทยในการดึงดูดการลงทุนในอดีต คือ โครงสร้างพื้นฐานดี เช่น ไฟฟ้า ประปา ถนน โทรคมนาคมท่าเรือ สนามบินและนิคมอุตสาหกรรม, ฐานอุตสาหกรรมสนับสนุนความพร้อม เช่น วัตถุดิบ ชิ้นส่วนรองรับอุตสาหกรรมต่างๆ, บุคลากรโดยรวมมีคุณภาพ,ตลาดในประเทศมีขนาดใหญ่และมีศักยภาพ,สิทธิประโยชน์แข่งขันได้และสภาพแวดล้อมน่าอยู่ เป็นมิตรกับธุรกิจและมีต้นทุนที่เหมาะสม ส่วนจุดแข็งใหม่ของไทย คือ EEC โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก,Renewable Energy พลังงานทดแทน,Resiliency ความยืดหยุ่น,Ease of Investment and Living in Thailand ความยากง่ายในการลงทุนและการพำนักอาศัยในเมืองไทย รวมทั้ง Conflict-free Zone ความขัดแย้งในเขตปลอดอากร เป็นต้น

ทั้งนี้ มี 5 อุตสาหกรรมที่เรากำลังจะพุ่งเป้าไป คือ 1.BCG โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน 2.EV รถพลังงานไฟฟ้า3.Smart Electronics อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ 4.Digital ดิจิทัล 5.Creative ความคิดสร้างสรรค์

สำหรับแผนยุทธศาสตร์การลงทุนในอีก 5 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2566-2570) คือ 1.การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมและสร้างความเข้มแข็งในห่วงโซ่อุปทาน 2.เร่งเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมอัจฉริยะและยั่งยืน หรือ  Smart and Sustainable Industry 3.ผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศและประตูการค้าการลงทุนของภูมิภาค4.ส่งเสริมเอสเอ็มอีและสตาร์ท อัพ ให้เข้มแข็งและเชื่อมต่อโลก 5.ส่งเสริมการลงทุนตามศักยภาพพื้นที่เพื่อสร้างความเติบโตอย่างทั่วถึง 6.ส่งเสริมการลงทุนเพื่อชุมชนและสังคม และ 7.การส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศเพื่อขยายโอกาสทางเศรษฐกิจในอนาคต.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เพลิงไหม้อาคารกองบัญชาการกองทัพไทย

กทม. 18 ก.ย.-เพลิงไหม้อาคารกองบัญชาการกองทัพไทย คาดไฟฟ้าลัดวงจรและลุกลามไปยังห้องข้างเคียง ไม่พบผู้บาดเจ็บหรือความเสียหายร้ายแรง เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 18 ก.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดเหตุห้องอาหาร 50 จากตู้ควบคุมวงจรไฟฟ้ามีเพลิงไหม้ (ไฟฟ้าลัดวงจร) และลุกลามไปยังพื้นที่ข้างเคียงตึกกองบัญชา บกทท. บริเวณชั้น6 ข้างห้อง เสธนาธิการทหาร เจ้าหน้าที่เวรยาม และสารวัตรทหาร ได้ช่วยกันใช้ถังดับเพลิงในการดับเพลิงแต่ไม่สามารถเข้าถึงต้นเพลิงในการระงับดับไฟได้ จึงได้ประสานรถตับเพลิงและขอส่วนสนับสนุนรถดับเพลิง นทพ. มาช่วยในการระดับดับเพลิง โดยมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้เข้าตรวจสอบและดำเนินการระงับเหตุในทันที เบื้องต้นสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ พล.ต.วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น คาดว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร ทั้งนี้ ยังไม่พบผู้ได้รับบาดเจ็บหรือความเสียหายร้ายแรงต่อโครงสร้างอาคารแต่อย่างใด กองบัญชาการกองทัพไทย ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างใกล้ชิด และจะรายงานความคืบหน้าให้ประชาชนและสื่อมวลชนรับทราบต่อไป.-313.-สำนักข่าวไทย

โผ ครม. “อนุทิน” ลงตัว ไม่ถูกตีกลับ

กทม. 18 ก.ย.-โผ ครม. “อนุทิน” ลงตัว ไม่ถูกตีกลับ ขณะ “นายกฯ หนู” ยังนั่งดินเนอร์อาหารอีสานอย่างสบายใจ ท่ามกลางข่าวลือ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 17 ก.ย. มีกระแสข่าวลือว่ากระบวนการทูลเกล้าฯ รายชื่อคณะรัฐมนตรี ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี มีปัญหา ถูกตีกลับ เนื่องจากพบรายชื่อว่าที่รัฐมนตรีบางคน ติดปัญหาคุณสมบัตินั้น ล่าสุด แหล่งข่าว ยืนยันว่า รายชื่อคณะรัฐมนตรี ที่นำทูลเกล้าฯไปนั้น ไม่ได้มีปัญหาแต่ย่างใด ทุกอย่างลงตัวเรียบร้อยตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมาแล้ว โดยเรื่องคุณสมบัติ ได้ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามาแล้ว ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ในช่วง ค่ำวันนี้ (17 ก.ย.) ปรากฏภาพ นายอนุทิน นั่งรับประทานอาหารอีสานอย่างสบายใจ ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งกับคนใกล้ชิด ท่ามกลางข่าวลือที่เกิดขึ้น.-319.-สำนักข่าวไทย

“รังสิมันต์” เบรกกัมพูชากลางวง AIPA หลังเสนอวาระเร่งด่วนปมเปิดด่าน

มาเลเซีย 17 ก.ย.- “รังสิมันต์” เบรกกัมพูชา กลางวงประชุม AIPA หลังเสนอวาระเร่งด่วนประเด็นขัดแย้งไทย-กัมพูชา หารือปมเปิดด่าน หวั่นเป็นประเด็นการเมือง-ละเอียดอ่อน ชี้ มีกระบวนการ IOT และ GBC อยู่แล้ว นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะผู้แทนรัฐสภาไทยในการประชุมคณะกรรมการบริหาร AIPA กล่าวถึงข้อเสนอของกัมพูชาผ่านเวที AIPA ว่าเป็นการเสนอในระยะเวลากระชั้นชิดเป็นช่วงสุดท้าย ที่เปิดให้ประเทศสมาชิกเสนอวาระเร่งด่วนได้ ดังนั้นทีมไทยแลนด์ที่นำโดยนายฉลาด ขามช่วง เมื่อทราบ ข้อเรียกร้องของกัมพูชาจึงได้เตรียมการในเรื่องนี้ ซึ่งจากเดิมได้เรียกร้อง 2 ข้อ คือ 1. เรื่องเฉลยศึก ที่ทหารกัมพูชาถูกควบคุมตัว ในช่วงเวลาที่มีการปะทะ และ 2. เรื่องการเปิดด่านชายแดน แต่ท้ายที่สุดทางกัมพูชากลับเรียกร้องบนเวที AIPA เพียงเรื่องการเปิดด่านชายแดนเท่านั้น จึงรู้สึกแปลกใจว่าทำไมถึงหยิบยกมาเพียงเรื่องนี้ ในเมื่อกระบวนการของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว หรือ IOT ผ่านไป และค่อนข้างราบรื่น ดังนั้นการหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาพูดคุยอีกครั้ง จากการแก้ปัญหาแบบทวิภาคี ระหว่างไทย และ […]

แม่ใจสลาย รับร่างลูกสาววัย 2 เดือนถูกพิตบูลขย้ำ ส่งชันสูตร

อุทัยธานี 17 ก.ย. – ครอบครัวเศร้า ติดต่อรับร่างลูกสาววัย 2 เดือน ส่งชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิต หลังถูกสุนัขพิตบูลลากไปขย้ำหัว ขณะแม่ไปเก็บของเก่าภายในโรงสี เจ้าของคาดเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของเล่น นายฉัตรมงคล สุวรรณเศรษฐ์ เจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัยจังหวัดอุทัยธานี พร้อมด้วยมารดาของ ด.ญ.กัญญาภัทร อายุเพียง 2 เดือน ผู้เสียชีวิตจากการถูกสุนัขพันธุ์พิตบูลกัด รวมถึงญาติ เดินทางไปรับศพที่โรงพยาบาลหนองฉาง จ.อุทัยธานี ก่อนนำร่างส่งชันสูตร หาสาเหตุอย่างละเอียดอีกครั้งที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จ.นครสวรรค์ ทั้งนี้ เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเวลา 15.00 น. วานนี้ (16 ก.ย.) ที่โรงรถของบ้านหลังหนึ่ง พื้นที่ หมู่ 15 บ้านโรงสีใหม่ ต.ทุ่งโพ อ.หนองฉาง จ.อุทัยธานี โดยเมื่อเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบพบร่างเด็กน้อย อยู่บริเวณรางระบายน้ำ เจ้าของบ้านนำร่างเด็ก ส่งโรงพยาบาลไปก่อนหน้านี้ แต่เสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยที่เกิดเหตุ ยังพบคราบเลือดและร่องรอยลากยาวราว 6 เมตร ไปถึงรางระบายน้ำ นอกจากนี้ ยังพบรถเข็นเด็ก พร้อมของเล่น […]

ข่าวแนะนำ

“อนุทิน” รับ “อันวาร์” ยกหูเชิญถกอาเซียน ยันไม่มีใครแทรกแซงรัฐบาลไทยได้

พรรคภูมิใจไทย 19 ก.ย.- “อนุทิน” รับ “อันวาร์” ยกหูหาเชิญร่วมประชุมอาเซียน ยันไม่มีใครเคลียร์-แทรกแซงรัฐบาลได้ หลัง “ฮุน มาเนต” ขอมาเลเซียเป็นตัวกลาง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกมาเปิดเผยว่าได้โทรศัพท์พูดคุยเป็นการส่วนตัว โดยนายอนุทิน ยอมรับว่า เมื่อวานนายอันวาร์ได้โทรมาหา พูดคุยถึงการเชื้อเชิญว่า ถ้าหากตนได้รับตำแหน่งเรียบร้อยแล้วคงจะได้พบกันโดยเร็วที่สุด ซึ่งจะเป็นการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในช่วงเดือนหน้า ส่วนการพูดคุยถึงสถานการณ์ชายแดนจังหวัดสระแก้ว นายอนุทิน ระบุว่า ไม่ได้มีการพูดคุยในรายละเอียด อีกทั้งตนยังไม่สามารถพูดอะไรได้มาก เนื่องจากยังไม่ได้เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งขณะนี้ก็ยังคงมีรัฐบาลรักษาการ เราให้เกียรติกัน “ผมรับตำแหน่งได้ ก็ต่อเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อน ส่วนเรื่องนโยบาย ข้อสั่งการ ต้องรอการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งขณะนี้เราก็ยังรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ไว้ให้มากที่สุด” นายอนุทิน กล่าว ส่วนกรณีที่นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ร้องขอไปยังนายอันวาร์ เพื่อให้เข้ามาแทรกแซงการเจรจานั้น นายอนุทิน ยืนยันว่า ไม่มีใครแทรกแซงรัฐบาลไทยและอธิปไตยของไทยได้ ส่วนเรื่องการพูดคุย นายอนุทิน ย้ำว่า เราสามารถทำได้ เพราะเป็นคนที่คุ้นเคยรู้จักกัน […]

“อนุทิน” กินข้าว “อภิสิทธิ์” ขอคำแนะนำอดีตนายกฯ

กทม. 19 ก.ย.- “อนุทิน” โพสต์ภาพร่วมโต๊ะกินมื้อกลางวันคู่กับ “อภิสิทธิ์” บอกขอคำแนะนำอดีตนายกฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี โพสต์ภาพรับประทานอาหารกลางวันคู่กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งเป็นการส่วนตัว พร้อมระบุข้อความว่า “ได้รับคำแนะนำที่มีประโยชน์และคุณค่ามากมายจากท่านนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ได้ให้เกียรติมาให้กำลังใจและทานอาหารกลางวันด้วยกันในวันนี้ ขอบพระคุณท่านมากครับ” ทั้งนี้ ถือเป็นความเคลื่อนไหวแรกของนายกรัฐมนตรี หลังจากที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของนายอนุทิน เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีอีกกระแสข่าว ที่เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ กลับไปเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ -สำนักข่าวไทย

รวบยกแก๊ง 4 ชาวอังกฤษขับรถชิงทรัพย์ชาวอเมริกัน

ภูเก็ต 19 ก.ย. – วานนี้มีเหตุอุกอาจกลางเมืองภูเก็ต กลุ่มชายฉกรรจ์ขับรถชนรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายก่อนลงไปชิงนาฬิกาหรู มูลค่ากว่า 2 ล้าน เช้านี้ตำรวจรวบผู้ก่อเหตุได้ครบ เชื่อวางแผนทำกันเป็นขบวนการ.-สำนักข่าวไทย

ไทยยึดหลักสากล จัดการปมบ้านหนองหญ้าแก้ว

กระทรวงการต่างประเทศ 19 ก.ย.- “อนุทิน” แจงประธานอาเชียน เหตุบ้านหนองหญ้าแก้ว ไทยยืนยันยึดหลักสากล จัดการปัญหา กัมพูชาขัดข้อตกลงหยุดยิง ใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์ ไร้มนุษยธรรม ไม่สร้างสรรค์ บิดเบือนข้อเท็จจริง พร้อมเรียกร้องกัมพูชาแสดงความจริงใจในการแก้ปัญหา นายนิกรเดช พลางกูล อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ที่มีการรื้อถอนสิ่งกีดขวางของฝ่ายไทย และมีการปะทะจนมีเจ้าหน้าที่ไทยได้รับบาดเจ็บ ซึ่งถือเป็นการทำผิดกฎหมายไทยหลายมาตรา โดยย้ำว่าที่ผ่านมาฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัดทุกประการมาโดยตลอด ข้อตกลงนี้เป็นหมุดหมายสำคัญที่จะปูทางไปสู่สันติภาพ แม้สถานการณ์สงบลง แต่กัมพูชายังยั่วยุในรูปแบบต่างๆ ซึ่งขัดข้อตกลงหยุดยิง พร้อมย้ำว่าการวางเครื่องกีดขวางเสริมความมั่นคง เป็นการดำเนินการในอธิปไตยของไทยอย่างชัดเจน โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยอดกลั่น และใช้เวลาชี้แจงกับประชาชนกัมพูชา แต่ไม่เป็นผล ที่สุดเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนของไทยต้องเข้าระงับเหตุตามหลักสากล ตามหลักมนุษยชนการปลุกระดมให้ประชาชนมาเป็นโล่มนุษย์ ขัดกฎหมายระหว่างประเทศ ไร้มนุษยธรรม ขาดความรับผิดชอบ ไม่สร้างสรรค์ และไม่ยึดถือประโยชน์และความปลอดภัยของประชาชนเป็นที่ตั้ง นอกจากนี้ ทั้ง 2 ประเทศให้คำมั่นหยุดยิงไปแล้ว แต่กัมพูชาเลือกเส้นทางจากต่างไทยโดยสิ้นเชิง ไทยมุ่งมั่นแสวงหาสันติภาพ ซึ่งต่างจากกัมพูชาที่แสวงหาความรุนแรง การวางรั้วลวดหนามของฝ่ายไทย เป็นไปเพื่อป้องกันการปะทะ และเพื่อสร้างความปลอดภัยของประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ และเหตุความรุนแรงอาจนำไปสู่การสูญเสีย […]