กรุงเทพฯ 10 ก.พ.- ไทย-มาเลเซีย ผนึกกำลังร่วมมือด้านไฟฟ้า ทั้งการไฟฟ้าของ 2 ประเทศ และบริษัทเอกชน เล็งเพิ่มขีดความสามารถระบบส่งไฟฟ้า รองรับ ASEAN Power Grid
วานนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2566) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามความร่วมมือ 4 ฉบับ ได้แก่ 1. บันทึกความเข้าใจระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ Tenaga Nasional Berhad (TNB) ในการจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของข้อเสนอในการเสริมสร้างศักยภาพการเชื่อมต่อโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าระหว่างคาบสมุทรมาเลเซียและไทย 2. บันทึกความเข้าใจระหว่าง TNB Renewable SDN. BHD. และ Planet Utility Co., Ltd. เกี่ยวกับข้อเสนอในการร่วมมือสำรวจศักยภาพของเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนและการผลิตพลังงานในประเทศไทย 3. บันทึกความตกลงระหว่าง TNB Power Generation SDN. BHD. และ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) และ 4. บันทึกความเข้าใจระหว่าง Malaysia Digital Economy Corporation SDN. BHD. และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล
นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการ กฟผ. เปิดเผยว่า ความร่วมมือระหว่าง TNB และ กฟผ. ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการยกระดับการเชื่อมต่อระบบส่งไฟฟ้าระหว่างประเทศเพื่อรองรับการเชื่อมโยงโครงข่ายระบบไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Grid) สร้างความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้าของภูมิภาค และใช้สำหรับแลกเปลี่ยนซื้อขายพลังงานไฟฟ้าในช่วงเวลาที่มีความต้องการไฟฟ้าสูงหรือยามฉุกเฉิน เพื่อเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางการซื้อขายไฟฟ้าอาเซียนในอนาคต โดยทั้งสองหน่วยงานจะร่วมกันศึกษาความเหมาะสม แนวทางการเพิ่มขีดความสามารถโครงข่ายระบบส่งไฟฟ้าที่เชื่อมต่อระหว่างประเทศไทยและมาเลเซียเป็นระยะเวลา 3 ปี ทั้งการออกแบบระบบส่งไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ศึกษากฎระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการประเมินต้นทุนและความเสี่ยงต่าง ๆ เนื่องจากปัจจุบันสายส่งไฟฟ้ากระแสตรงแรงดันสูง (HVDC) ขนาด 300 เมกะวัตต์ ที่เชื่อมต่อระหว่างสถานีไฟฟ้าแรงสูงคลองแงะ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา กับสถานีไฟฟ้าแรงสูงกูรูน รัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2545 และจะครบอายุการใช้งานในปี 2570
ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า การร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ในครั้งนี้ ทีเอ็นบี เพาเวอร์ เจนเนอเรชั่น เอสดีเอ็น.บีเอชดี. จะนำเข้าพลังงานหมุนเวียน (พลังงานน้ำ ลม และแสงอาทิตย์) 200 เมกะวัตต์ จาก บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (ลาว) จำกัด บริษัทใน เครือของ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ผ่านกลไกของโครงการเชื่อมโยงระบบพลังงาน ลาว-ไทย-มาเลเซีย (Lao PDR-Thailand-Malaysia Power Integration Project : LTM-PIP) รวมถึงร่วมกันพัฒนาโครงการที่เห็นชอบร่วมกัน ทั้งในโครงการที่สร้างเสร็จและมีรายได้แล้ว (Brownfield Project) และ โครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา (Greenfield Project) ของบี.กริม เพาเวอร์ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย
ขณะเดียวกัน ภายใต้ขอบเขตความร่วมมือของทั้ง 2 ฝ่าย ทีเอ็นบี เพาเวอร์ เจนเนอเรชั่น เอสดีเอ็น.บีเอชดี. อาจพิจารณาถือหุ้นในโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนของ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมียุทธศาสตร์และจุดมุ่งหมายในการนำเข้าพลังงานหมุนเวียนไปยังประเทศมาเลเซีย นอกจากนี้ ในอนาคตทั้ง 2 ฝ่าย ยังเดินหน้าแสวงหาโอกาสและข้อตกลงร่วมกันในโครงการอื่นๆ ที่เป็นไปได้ในอนาคต.-สำนักข่าวไทย