นนทบุรี 31 ม.ค. – อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ โชว์ผลงานยอดส่งออกข้าวไทยเกินเป้า โดยปี 65 สูงกว่า 7.69 ล้านตัน สร้างรายได้เข้าประเทศถึง 3,971 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประสานเอกชนประเมินยอดส่งออกข้าวไทย เร่งเจาะตลาดเก่าและใหม่ปี 66 ดันยอดส่งออกข้าวไทยต้องไม่ต่ำกว่า 7.5 ล้านตัน ปลื้มยอดใช้สิทธิลดภาษีเพื่อส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรีขยายตัวดี พร้อมดันมูลค่าการค้าชายแดน-ผ่านแดนปีนี้ 1.06 ล้านล้านบาท
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า กรมฯ ยังเร่งผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าของไทยในปี 2566 โดยในส่วนของสินค้าข้าว กรมฯ ได้คาดการณ์การส่งออกร่วมกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย โดยตั้งเป้าทั้งปีไว้ที่ 7.5 ล้านตัน หลังจากในปี 2565 มีปริมาณการส่งออกรวมอยู่ที่ 7.69 ล้านตัน มีมูลค่ากว่า 3,971 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีแผนการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อผลักดันการส่งออกข้าวให้เป็นไปตามเป้า เช่น การจัดงานประชุมข้าวนานาชาติ (Thailand Rice Convention 2023) การจัดคณะผู้แทนการค้าภาครัฐและเอกชนเยือนประเทศคู่ค้าสำคัญต่างๆ และจัดประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ข้าวไทยในตลาดต่างประเทศ เป็นต้น
ขณะที่สินค้ามันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง กรมฯ ได้คาดการณ์การส่งออกร่วมกับ 4 สมาคม ได้แก่ สมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย สมาคมแป้งมันสำปะหลังไทย สมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทย และสมาคมโรงงานผู้ผลิตมันสำปะหลังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยตั้งเป้าทั้งปีไว้ที่ 9 ล้านตัน โดยในปี 2565 มีปริมาณการส่งออกรวม 11.18 ล้านตัน ซึ่งในปี 2566 มีแผนเจาะตลาดเป้าหมาย ได้แก่ จีน EU ตุรกี นิวซีแลนด์ อินเดีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และซาอุดีอาระเบีย และมีกำหนดจัดงานมันสำปะหลังโลก (World Tapioca Conference 2023) ประมาณต้นเดือนมีนาคม 2566
อย่างไรก็ตาม ในฐานะหน่วยงานหลักด้านการค้าต่างประเทศ กรมฯ ได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการใช้สิทธิในการลดภาษีเพื่อส่งออกภายใต้ความตกลงต่างๆ เพื่อสร้างแต้มต่อทางการค้าให้แก่ผู้ประกอบการ รวมทั้งเดินหน้าผลักดันการค้าชายแดน-ผ่านแดน และการส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง เพื่อให้มูลค่าการค้าของไทยเพิ่มขึ้น รวมถึงติดตามความคืบหน้าการใช้มาตรการทางการค้าของประเทศต่างๆ โดยในเดือนมกราคม 2566 มีความเคลื่อนไหวด้านการใช้สิทธิในการลดภาษีเพื่อส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรีและมาตรการทางการค้า
ทั้งนี้ การใช้สิทธิลดภาษีเพื่อส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) จำนวน 12 ฉบับ จากความตกลงฯ ที่ไทยมีอยู่ 14 ฉบับ (ไม่รวมความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง ที่ภาษีนำเข้าเป็นศูนย์ในทุกรายการสินค้า และความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ไทย-นิวซีแลนด์ (TNZCEP) ที่ใช้ระบบการรับรองตนเองของผู้ส่งออก (self-declaration)) โดยในปี 2565 (มกราคม-ธันวาคม) มีมูลค่ารวม 84,633.16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.90% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และมีสัดส่วนการใช้สิทธิ 82.11% ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสินค้าสำคัญที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นในกรอบความตกลงฯ ต่างๆ ได้แก่ ยานยนต์สำหรับขนส่งของที่น้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 5 ตัน ทุเรียนสด และเนื้อไก่และเครื่องในไก่ที่ปรุงแต่งหรือทำไว้ไม่ให้เสีย เป็นต้น
ขณะที่กรอบความตกลงที่มีการใช้สิทธิ FTA สูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ (1) อาเซียน ยังคงครองแชมป์ โดยมีมูลค่า 30,793.13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.17% (2) อาเซียน-จีน (ACFTA) มูลค่า 26,290.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.80% (3) ไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) มูลค่า 6,723.08 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.47% (4) ไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) มูลค่า 6,040.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวลงเล็กน้อยที่ 1.90% และ (5) อาเซียน-อินเดีย (AIFTA) มูลค่า 5,723.83 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 30.76%
นอกจากนี้ ยังมีการใช้สิทธิตามกรอบความตกลงอื่นๆ ได้แก่ ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลีใต้ (AKFTA) มูลค่า 3,624.87 ล้านดอลลาร์หรัฐ เพิ่มขึ้น 3.77% ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (AANZFTA) ส่งออกไปออสเตรเลีย มูลค่า 2,710.46 ล้านดอลลารสหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.01% และความตกลงเขตการค้าเสรีไทย-ชิลี (TCFTA) มูลค่า 593.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 4.02%
สำหรับความตกลง RCEP ปี 2565 (มกราคม-ธันวาคม) มีการส่งออกไปยัง 8 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ออสเตรเลีย สิงคโปร์ นิวซีแลนด์ มาเลเซีย และเวียดนาม มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ รวม 994.77 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญภายใต้ความตกลง RCEP น้ำมันหล่อลื่น (เกาหลีใต้) ปลาทูน่ากระป๋อง ปลาสคิปแจ็ค และปลาโบนิโต ชนิดซาร์ดา (ญี่ปุ่น) มันสำปะหลังเส้น (จีน) เป็นต้น
ขณะที่การใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ซึ่งเป็นระบบที่ไทยได้รับสิทธิประโยชน์จากสหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ และกลุ่มประเทศในเครือรัฐเอกราช โดยในปี 2565 (มกราคม-พฤศจิกายน) มีมูลค่ารวม 3,472.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.76% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ 54.85% โดยตลาดสหรัฐอเมริกาครองแชมป์ มีมูลค่าการใช้สิทธิถึง 3,200.09 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 4.18% สวิตเซอร์แลนด์ มูลค่า 253.89 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.05% และนอร์เวย์ มูลค่า 15.31 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 12.87% ส่วนกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) มีมูลค่า 3.32 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิ GSP สูง ได้แก่ ส่วนประกอบของเครื่องปรับอากาศอื่นๆ ถุงมือยาง อาหารปรุงแต่ง กรดมะนาว หรือกรดซิทริก เลนส์แว่นตาทำจากวัสดุอื่นๆ ที่ไม่ใช่แก้ว หีบเดินทางขนาดใหญ่ กระเป๋าใส่เสื้อผ้า หลอดหรือท่อทำด้วยทองแดงบริสุทธิ์ ไร้รอยต่อ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ระบบส่งกำลังอื่นๆ ภายใต้พิกัด 8701 และ 8702-8705 และพลาสติกอื่นๆ ตามลำดับ
สำหรับการส่งออกผ่านการค้าชายแดนและผ่านแดน ปี 2566 กรมฯ ร่วมกับภาคเอกชนตั้งเป้าไว้ที่ 1,060,732 ล้านบาท หรือโตเพิ่ม 3% จากปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 1,029,837 ล้านบาท โดยแผนผลักดันที่จะทำให้เป็นไปตามเป้า ได้แก่ 1. แก้ปัญหาการค้าชายแดนและผ่านแดนร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผ่านการลงพื้นที่และติดตามการแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด 2. จัดมหกรรมการค้าชายแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน (3) บูรณาการร่วมกับจังหวัดชายแดนเพื่อผลักดันการเปิดจุดผ่านแดนเพื่อการขนส่งสินค้าให้ครบทุกจุด โดยสถานะการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ปัจจุบัน (25 มกราคม 2566) ฝั่งไทยเปิด 80 แห่ง จากทั้งหมด 97 แห่ง ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านเปิด 72 แห่ง เป็นต้น. – สำนักข่าวไทย