กรุงเทพฯ 23 ก.ย.-กสิกรไทยคาด กนง.ขึ้นดอกเบี้ย อีก 2 รอบปีนี้ รวมอีก 0.50% สกัดบาทอ่อนค่า เตือนใน 1 เดือนข้างหน้าแตะ 38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ด้าน “กอบศักดิ์” ส่งสัญญาณเตือนรับมือ Global Recessions หลังเฟดย้ำเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยกดเงินเฟ้อตามเป้า 2 %
นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) คาดการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน 28 ก.ย.นี้ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอัตรา 0.25% และปรับขึ้นอีกในอัตราเดียวกันในการประชุมครั้งสุดท้ายของปี รวมเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ จะช่วยลดแรงกดดันการอ่อนค่าของเงินบาทที่จะส่งผลต่อการนำเข้าต้นทุนพลังงานและนำไปสู่ต้นทุนของธุรกิจ-ค่าครองชีพต่อไปได้ โดยคาดว่าเงินบาทในช่วงสิ้นปีจะอยู่ที่ราว 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยสนับสนุนมาจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวชัดเจน ส่งผลต่อเนื่องให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ประเมินค่าเงินบาทในช่วง 1 เดือนข้างหน้านี้ยังอ่อนค่าต่อเนื่อง และมีโอกาสทดสอบที่ระดับ 38.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ช่วงนี้ ทิศทางบาทอ่อนค่าและมีความผันผวนค่อนข้างสูง ตามค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องภายหลังการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในอัตราที่สูงของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และยังส่งสัญญาณที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเข้มข้นต่อไปเพื่อกดเงินเฟ้อให้ลดลงยู่ในระดับ 2% ส่งผลให้ค่าเงินของเกือบทุกประเทศทั่วโลกอ่อนค่าลง ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าลงนับแต่ต้นปีคิดเป็น 10.6% ซึ่งสอดคล้องกับค่าเงินอื่นในภูมิภาค
“คาด กนง.สัปดาห์หน้าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับ 0.25% และภาครัฐคงจะขอความร่วมมือแบงก์พาณิชย์ไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยทันที แต่จะมีผลในตลาดตราสารหนี้มากกว่า โดยเศรษฐกิจไทยแม้จะฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่โตต่ำกว่าศักยภาพอยู่ถึง 5% และยังสุ่มเสี่ยงจากภาคการส่งออกที่เติบโตในอัตราที่ลดลงเรื่อยๆ แม้การท่องเที่ยวเริ่มฟื้น แต่คาดว่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีจึงจะกลับไปช่วงก่อนเกิดโควิด ดังนั้น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป”นายกอบสิทธิ์กล่าว
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย(FETCO) โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ที่ขึ้นดอกเบี้ยก.ย. 0.75% และนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดออกมาระบุถึงการดำเนินการต่อไปตามเป้าหมายเฟดจะเอาเงินเฟ้อลงมาที่ 2% ให้ได้ เพราะถ้าพลาดเรื่องนี้ จะเสียหายกันมากกว่านี้ เช่น ระบุว่า “ We will keep at it until we are confident the job is done … เราจะไม่หยุด จนเรามั่นใจได้ว่าเงินเฟ้อสยบ และปิดงานได้”
นายกอบศักดิ์ชี้ว่าจากสิ่งที่เฟดกำลังทำ คงต้องสรุปว่า เฟดตั้งใจที่จะ “ทุบเศรษฐกิจ เพื่อนำไปสู่การสยบเงินเฟ้อ” ซึ่งเป็นไม้ตายขั้นสูงสุด ที่ธนาคารกลางจะนำมาใช้ได้ หมายความว่า เฟดจะเดินหน้า ไม่เปลี่ยนใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไร คนจะตกงาน บริษัทล้มละลาย ตลาดอสังหาสหรัฐพัง ค่าเงินดอลลาร์แข็ง ส่งออกไม่ได้ Emerging Market ปั่นป่วน เกิดวิกฤตรัฐบาลสหรัฐของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ต้องจ่ายดอกเบี้ยมากขึ้น พรรคเดโมแครต ได้รับผลกระทบในการเลือกตั้งที่จะถึงเศรษฐกิจสหรัฐพัง ติดลบ
โดยล่าสุด จากการประมาณการณ์ของเฟดในรอบที่ผ่านมา ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ที่เมื่อปลายปีที่แล้วประมาณว่าจะโต4.0% ขณะนี้ปรับใหม่ คาดว่าจะโตเพียง 0.0-0.5% หรือลดลง 3.5-4.0% อัตราคนว่างงานปีนี้ ที่เคยคิดว่าจะอยู่ที่ 3.5%ตอนนี้ คาดว่าจะตกงานกันที่ 3.7-5.0% เพิ่มขึ้น 0.2-1.5% โดยหากเป็นกรณีแย่สุด จะมีคนตกงานเพิ่มขึ้น1.5% หมายความว่า ถ้าคำนวนเร็วๆ จากคนทำงานในสหรัฐ 157.5 ล้านคนต้องมีคนตกงานเพิ่มขึ้น 2.7 ล้านคน
ทั้งหมดนี้ เป็นแค่ตัวเลขเบื้องต้น บนพื้นฐานจากดอกเบี้ยที่คาดว่าจะขึ้นไปสูงสุดที่ 4.6% ในช่วงปลายปีหน้า แต่ถ้าสุดท้ายเงินเฟ้อยังดื้อแพ่ง ลงมาช้า หรือค้างอยู่ที่ 3-4% เฟดก็คงต้องเพิ่มยาขึ้นดอกเบี้ยไปอย่างน้อยถึงระดับ 5-6% ตัวเลขเศรษฐกิจเหล่านี้ ก็จะแย่กว่านี้ ไปอีกพอสมควร แต่เฟดก็คงยังยืนยันต่อไปว่า เป็นสิ่งทุกคนที่ต้องยอม ไม่มีทางเลือกซึ่งจะทำให้สหรัฐก็จะเข้าสู่ภาวะถดถอย( Recession) เต็มรูปแบบ ที่อาจลึกกว่าที่ทุกคนคาด
“ทั้งหมด จึงเป็นสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า อันจะมีนัยยะต่อทุกคนต่อไป ราคาสินทรัพย์ต่างๆค่าเงิน การส่งออก กำไร สภาพคล่อง การจ้างงาน และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งความจริงแล้ว การทุบเศรษฐกิจ เพื่อสยบเงินเฟ้อ ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีคนบอกว่า ถ้าลองย้อนไปดูในอดีตที่ผ่านมา Recession ที่เกิดขึ้น เป็นผลงานที่เฟดสร้างเป็นส่วนมาก เพียงแต่ครั้งนี้ปัญหาอาจจะลุกลามขึ้นเป็น Global Recessions เพราะมีธนาคารกลางหลายแห่ง ที่อยาก “พิชิตเงินเฟ้อ” พร้อมๆกันครับ”นายกอบศักดิ์ ระบุ-สำนักข่าวไทย