โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ 22 ก.ย. – EXIM BANK สนองนโยบายคลัง เดินหน้านำเอสเอ็มอีบุกตลาดเวียดนาม ช่วง 8 เดือนแรก ปล่อยกู้เอกชนไทยลงทุนเวียดนาม 14,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 55.4

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวระหว่างร่วมงานสัมมนา “Vietnam in Focus 2022 : The Dream Journey” ว่าการค้าชายแดนเติบโตมาโดยตลอด รัฐบาลจึงมุ่งสร้างความร่วมมือระดับอนุภูมิภาค ในการแสวงหาความร่วมมือจากผู้ลงทุน หุ้นส่วนเศรษฐกิจ ผู้ส่งออก นำเข้า เพื่อหวังสร้างความเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยว เพื่อช่วยเหลือธุรกิจโรงแรม วัฒนธรรม สร้างการท่องเที่ยวร่วมกัน
ในโลกยุค Next Normal หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจเริ่มกลับมาพร้อมกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในตลาดใหม่อย่างเวียดนาม ที่มาแรงด้วยประชากรเกือบ 100 ล้านคน และเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตสูงเกือบร้อยละ 7 ต่อปี โดยเวียดนามเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 4 ของไทย รองจากสหรัฐ จีน และญี่ปุ่น และเป็นแหล่งนำเข้าสำคัญอันดับ 10 การค้าระหว่างไทยกับเวียดนามมีพัฒนาการดีอย่างก้าวกระโดด จากมูลค่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2535 เพิ่มเป็น 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปัจจุบัน หรือขยายตัวเกือบร้อยละ 20 ต่อปี ขณะที่การส่งออกไทยไปเวียดนาม มีมูลค่า 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.3
นอกจากนี้รัฐบาลเวียดนามยังมีนโยบายส่งเสริมการค้าเสรีและการลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้เวียดนามเป็นแหล่งลงทุนเป้าหมายสำคัญของนักลงทุนต่างชาติ รวมทั้งไทยยังเป็นนักลงทุนรายใหญ่อันดับ 8 ในเวียดนาม ผู้ประกอบการไทยจึงควรเร่งขยายความร่วมมือกับเวียดนาม ไม่ว่าจะเป็นการค้าขายระหว่างประเทศหรือลงทุนร่วมกัน ขณะที่รัฐบาลไทยพร้อมส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในทุกมิติ ทั้งการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ การสนับสนุนของ EXIM BANK โดยใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญ เครื่องมือทางการเงิน การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงโอกาสใหม่ๆ พร้อมทั้งขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมสู่อนาคต เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy หรือ BCG Economy) ของไทย เชื่อมโยงกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตามกรอบความร่วมมือภายใต้อาเซียนและ APEC
นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า หัวใจสำคัญของการแข่งขันในตลาดโลกยุค Next Normal ได้แก่ การปรับตัวของผู้ประกอบการไทย EXIM BANK จึงช่วยให้ผู้ประกอบการไทยทุกระดับ ตั้งแต่ Start-up ไปจนถึงผู้ประกอบการทั่วไป เนื่องจากเวียดนาม เดิมเคยเป็น “คู่แข่ง” ปัจจุบันได้พลิกโฉมเป็น “คู่ค้าสำคัญ” ที่ไทยพึ่งพาและพึ่งพิงมากขึ้น โดยเวียดนามเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 5 ของไทยมาตั้งแต่ปี 2560 ไต่ระดับขึ้นมาจากอันดับ 15 ในปี 2555 ขณะที่เวียดนามเป็นแหล่งลงทุนสำคัญอันดับ 4 ของไทยในปัจจุบัน หลังจากอันดับอยู่อันดับ 10 เมื่อ 10 ปีก่อน EXIM BANK ยังพร้อมเสริมอาวุธให้ผู้ประกอบการไทย รับมือกับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ด้วยการทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า หรือการซื้อประกันค่าเงิน เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทางการค้าและการเมือง ไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อล้มละลาย ผู้ซื้อปฏิเสธการรับมอบสินค้า ผู้ซื้อไม่ชำระเงินค่าสินค้า รัฐบาลประเทศผู้ซื้อควบคุมการโอนเงิน ห้ามนำเข้าสินค้า เกิดสงคราม หรือจลาจล EXIM BANK จะจ่ายค่าสินไหมทดแทน รวมทั้งติดตามหนี้ให้ผู้ประกอบการไทย
EXIM BANK ยังมุ่งเน้นสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยเข้าไปอยู่ใน Supply Chain ธุรกิจ BCG ของเวียดนาม เนื่องจากศักยภาพของผู้ประกอบการไทยสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลเวียดนามที่ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนอย่างจริงจัง ความต้องการใช้ไฟฟ้าของเวียดนามมีอัตราสูงตามการพัฒนาของภาคอุตสาหกรรมและการเติบโตของสังคมเมือง ปัจจุบันโครงการลงทุนในเวียดนาม ภายใต้การสนับสนุนของ EXIM BANK มีมูลค่ากว่า 17,300 ล้านบาท ในหลากหลายธุรกิจ อาทิ โรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด ปิโตรเคมี ห้างค้าส่งและค้าปลีก
EXIM BANK ยังรองรับกระแสเศรษฐกิจสีเขียวสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน เช่น สินเชื่อ EXIM Kill Bill by Biz Transformation วงเงินกู้สูงสุด 100 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยต่ำสุดร้อยละ 2 ต่อปี ผ่อนชำระสูงสุด 7 ปี และสินเชื่อ Solar Orchestra สำหรับธุรกิจทุกขนาดที่ต้องการลงทุนติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) วงเงินกู้สูงสุด 100% ของมูลค่าโครงการลงทุน อัตราดอกเบี้ยต่ำสุดร้อยละ 2.75 ต่อปี ผ่อนชำระสูงสุด 7 ปี ผู้กู้จะได้รับสิทธิการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตแบบครบวงจร และสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีร้อยละ 50 ของเงินลงทุน เป็นระยะเวลา 3 ปี จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
สำหรับผลการดำเนินงานของ EXIM BANK ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2565 EXIM BANK มียอดคงค้างสินเชื่อโครงการระหว่างประเทศ 67,458 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,271 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยยังมุ่งสนับสนุนธุรกิจไทย ออกไปยังกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป ลาว เมียนมา และเวียดนาม) และตลาดใหม่ (New Frontiers) อย่างต่อเนื่อง ในช่วง 8 เดือนแรกปี 2565 มีสินเชื่อคงค้าง CLMV และ New Frontiers จำนวน 53,815 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,804 ล้านบาท หรือร้อยละ 17 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นสินเชื่อคงค้างในเวียดนาม 14,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 55.4 นับว่าผู้ประกอบการไทยยังมีศักยภาพบุกตลาดใหม่ โดยเฉพาะเวียดนาม ซึ่งเป็นพันธมิตรกับนานาประเทศ ทั้งในมิติการเมืองและเศรษฐกิจ รวมทั้งมี FTA มากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ครอบคลุมกว่า 50 ประเทศทั่วโลก.-สำนักข่าวไทย