ไต้ฝุ่น “ราอี” อ่อนกำลังหลังพัดถล่มฟิลิปปินส์

มะนิลา 17 ธ.ค. – พายุไต้ฝุ่นราอี ซึ่งเป็นพายุที่มีความรุนแรงมากที่สุดลูกหนึ่งในปีนี้ที่ขึ้นฝั่งฟิลิปปินส์ ได้อ่อนกำลังลงหลังพัดถล่มหลายพื้นที่ทางภาคกลางและภาคใต้ของประเทศ และทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานวันนี้ว่า อิทธิพลของพายุไต้ฝุ่นราอีที่ทวีกำลังเป็นพายุรุนแรงระดับ 5 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเมื่อวานนี้ ทำให้เสาไฟฟ้าและเสาโทรคมนาคมหักโค่น บ้านเรือนได้รับความเสียหาย และประชาชนหลายแสนคนต้องอพยพออกจากบ้านเรือน ในขณะที่พายุดังกล่าวได้พัดผ่านพื้นที่หมู่เกาะวิซายัสและเกาะปาลาวันที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของฟิลิปปินส์ ขณะที่เจ้าหน้าที่พยากรณ์อากาศของฟิลิปปินส์เผยกับสถานีวิทยุท้องถิ่นว่า ไต้ฝุ่นราอีได้อ่อนกำลังลงในขณะที่พัดผ่านภูเขาหลายลูกบนเกาะวิซายัส อย่างไรก็ดี ทางการฟิลิปปินส์ยังคงประกาศแจ้งเตือนภัยจากพายุที่มีความรุนแรงระดับ 3 และ 4 ในบางพื้นที่บนเกาะวิซายัสที่ยังคงมีกระแสลมแรง ขณะที่สำนักงานอุตุนิยมวิทยาของฟิลิปปินส์รายงานว่า พบผู้เสียชีวิต 1 รายที่มีความเชื่อมโยงกับพายุไต้ฝุ่นราอี แต่ยังไม่ได้รับรายละเอียดเพิ่มเติม ทรอปิคอล สตอร์ม ริสก์ (Tropical Strom Risk) เว็บไซต์ติดตามสถานะพายุ ระบุว่า ไต้ฝุ่นราอี ซึ่งมีความเร็วลมสูงสุดถึง 195 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก่อนขึ้นฝั่งฟิลิปปินส์เมื่อวานนี้ ได้ลดความรุนแรงลงเป็นพายุระดับ 3 แล้ว และคาดว่าจะเคลื่อนตัวออกจากฟิลิปปินส์ผ่านทางจังหวัดปาลาวันภายในวันเสาร์นี้ ส่วนผู้ว่าราชการจังหวัดโบโฮลของฟิลิปปินส์ได้ออกมาเรียกร้องความช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางผ่านสถานีวิทยุท้องถิ่น เนื่องจากจังหวัดโบโฮลกำลังประสบปัญหาช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม.-สำนักข่าวไทย

ไต้ฝุ่น “ราอี” ทวีกำลังแรงสุดก่อนพัดขึ้นฝั่งฟิลิปปินส์

มะนิลา 16 ธ.ค. – พายุไต้ฝุ่นราอีทวีกำลังเป็นพายุที่มีความรุนแรงระดับ 5 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด ก่อนขึ้นฝั่งพื้นที่ทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ในวันนี้ ทำให้ทางการต้องเร่งอพยพประชาชนจำนวนมากออกจากพื้นที่ประสบภัยและสั่งยกเลิกเที่ยวบินหลายเที่ยว ขณะที่ชุมชนในพื้นที่ราบต่ำมีน้ำท่วมสูงถึงระดับอกแล้ว สำนักงานอุตุนิยมวิทยาของฟิลิปปินส์รายงานว่า พายุไต้ฝุ่นราอี ซึ่งเป็นพายุไต้ฝุ่นลูกที่ 15 ที่พัดถล่มฟิลิปปินส์ในปีนี้ ได้พัดขึ้นฝั่งบนเกาะซูรีเกาของจังหวัดซูรีเกา เดล นอร์เต ทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ โดยมีความเร็วลมสูงสุด 195 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทางการฟิลิปปินส์เร่งอพยพประชาชนเกือบ 100,000 คนออกจากบ้านเรือนไปยังที่ปลอดภัยในขณะที่พายุไต้ฝุ่นราอี ซึ่งเป็นพายุที่มีความรุนแรงสูงเป็นอันดับสองของปีนี้ ทำให้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่หมู่เกาะทางใต้จนถึงตอนกลางของประเทศ ทั้งยังระบุเพิ่มเติมว่า ได้รับแจ้งเหตุไฟฟ้าดับและน้ำท่วมในบางพื้นที่แล้ว แต่ยังไม่มีรายงานพบผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดียวกัน หน่วยยามฝั่งของฟิลิปปินส์ได้เผยแพร่ภาพที่แสดงให้เห็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังลุยน้ำลึกระดับอกในเมืองคากายันเดโอโรที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งทางเหนือบนเกาะมินดาเนา และนำเรือยางเข้าไปช่วยเหลือชาวบ้าน ส่วนทางการฟิลิปปินส์ได้สั่งยกเลิกเที่ยวบินหลายสิบเที่ยว รวมถึงสั่งห้ามการสัญจรทางทะเลและทางบกในพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ของประเทศ ทำให้มีประชาชนหลายพันคนตกค้างอยู่ที่ท่าเรือ นอกจากนี้ ฟิลิปปินส์ยังสั่งหยุดการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิดให้แก่ประชาชนเป็นการชั่วคราวหลังพายุไต้ฝุ่นราอีได้พัดขึ้นฝั่งในวันนี้.-สำนักข่าวไทย

เด็กออสเตรเลียตกจากปราสาทเป่าลมที่ถูกลมแรงพัด ตาย 4 ราย

แทสเมเนีย 16 ธ.ค. – เครื่องเล่นเด็กที่เป็นปราสาทเป่าลมถูกกระแสลมแรงพัดลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าในวันฉลองจบการศึกษาที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในรัฐแทสมาเนีย ทางตอนใต้ของออสเตรเลีย ทำให้มีเด็กร่วงลงมาเสียชีวิต 4 ราย และได้รับบาดเจ็บอีก 4 คน เจ้าหน้าที่ของเมืองเดวอนพอร์ตในรัฐแทสเมเนียเผยวันนี้ว่า มีเด็กชาย 2 รายและเด็กหญิง 2 รายที่เรียนอยู่ในชั้นปีสุดท้ายของโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งในเมืองเดวอนพอร์ตเสียชีวิตหลังจากร่วงตกลงมาจากเครื่องเล่นเด็กที่เป็นปราสาทเป่าลมขนาดใหญ่และเป็นสไลเดอร์ขนาดยักษ์ที่ถูกกระแสลมแรงพัดลอยสู่ท้องฟ้าสูงราว 10 เมตรเมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับเวลา 06.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ขณะที่เด็กอีก 5 คนถูกส่งตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลแล้ว ในจำนวนนี้ มีเด็ก 4 คนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะนี้ ยังไม่มีข้อมูลยืนยันแน่ชัดว่าเพราะเหตุใดเครื่องเล่นดังกล่าวจึงลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า เจ้าหน้าที่คาดว่าเด็กที่เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บมีอายุ 10-11 ปี ในขณะเดียวกัน นายปีเตอร์ กัตไวน์ มุขมนตรีรัฐแทสเมเนีย กล่าวว่า เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเหตุโศกนาฏกรรมที่น่าตกใจเช่นนี้ และให้คำมั่นว่าจะดำเนินการสืบสวนอุบัติเหตุดังกล่าวอย่างถี่ถ้วน ขณะที่นายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริสัน ของออสเตรเลีย ระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องน่าเศร้าใจและหดหู่อย่างยิ่ง เขารู้สึกใจสลายที่ในวันนี้เด็ก ๆ ควรได้ใช้เวลาสนุกสนานร่วมกับครอบครัว แต่กลับจบลงด้วยโศกนาฏกรรมดังกล่าว.-สำนักข่าวไทย

มาเลเซียใช้มาตรการคุมเข้มขึ้นสกัดโอไมครอนระบาด

กัวลาลัมเปอร์ 16 ธ.ค. – มาเลเซียประกาศใช้มาตรการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ครั้งใหม่ ซึ่งรวมถึงคำสั่งห้ามประชาชนรวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่และข้อกำหนดให้กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อโควิดสูงเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิดเข็มที่สามเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน หลังพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนรายที่สอง นายไครี จามาลุดดิน รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของมาเลเซีย เผยวันนี้ว่า มาเลเซียจะสั่งห้ามการรวมตัวของประชาชนเป็นกลุ่มใหญ่ในช่วงเทศกาลปีใหม่ และผู้ที่จะเดินทางไปเข้าร่วมงานเลี้ยงในช่วงเทศกาลคริสต์มาสหรือปีใหม่ที่จัดขึ้นเป็นการส่วนตัวต้องตรวจหาเชื้อโควิดโดยใช้ชุดตรวจโควิดด้วยตนเอง เพื่อควบคุมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการระบาดของเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอน นอกจากนี้ มาเลเซียจะกำหนดให้ชาวมาเลเซียที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่ที่ได้รับวัคซีนของซิโนแวคเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มที่สามภายในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าเพื่อให้คงสถานะฉีดวัคซีนครบโดส นายไครียังระบุเพิ่มเติมว่า มาเลเซียพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนรายที่สองเป็นเด็กวัย 8 ปีที่เดินทางพร้อมครอบครัวมาจากไนจีเรียโดยแวะเปลี่ยนเครื่องที่กาตาร์ ส่วนผู้ที่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดทั้งหมด ซึ่งรวมถึงผู้โดยสาร 35 คนบนเที่ยวบินเดียวกัน มีผลตรวจหาเชื้อโควิดเป็นลบ นอกจากนี้ มาเลเซียยังพบกลุ่มผู้ป่วยอีก 18 คนที่คาดว่าจะติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอน แต่กำลังรอผลตรวจยืนยันในวันพรุ่งนี้ มาเลเซียยังคงใช้คำสั่งระงับการเดินทางจาก 8 ประเทศทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา รวมถึง 9 ประเทศที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น อังกฤษ สหรัฐ ออสเตรเลีย และอินเดีย ขณะนี้ มาเลเซียมียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมกว่า 2.7 ล้านคน และผู้เสียชีวิตกว่า 30,000 คน.-สำนักข่าวไทย

อินโดนีเซียพบผู้ป่วยโควิดโอไมครอนรายแรกในประเทศ

จาการ์ตา 16 ธ.ค. – อินโดนีเซียพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนรายแรกในประเทศเป็นพนักงานของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงจาการ์ตา ซึ่งไม่มีประวัติเดินทางไปต่างประเทศมาก่อน นายบูดี กูนาดี ซาดิคิน รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของอินโดนีเซีย เผยวันนี้ว่า อินโดนีเซียพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนรายแรกในประเทศเมื่อช่วงค่ำวันพุุธ เป็นพนักงานของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงจาการ์ตา ซึ่งไม่มีประวัติเดินทางไปต่างประเทศมาก่อนและยืนยันว่ายังไม่พบการแพร่ระบาดของเชื้อดังกล่าวในชุมชน นอกจากนี้ อินโดนีเซียยังพบผู้ป่วยที่คาดว่าจะติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนอีก 5 คน ในจำนวนนี้ มีชาวอินโดนีเซีย 2 คนที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากสหรัฐและอังกฤษ และมีชาวจีน 3 คนที่กำลังกักตัวอยู่ในจังหวัดสุลาเวสีเหนือ ขณะนี้ ทางการอินโดนีเซียกำลังรอผลตรวจการจัดลำดับทางพันธุกรรมเพื่อยืนยันว่าผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนหรือไม่ ก่อนหน้านี้ องค์การอนามัยโลกเผยว่า เชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนที่พบครั้งแรกในแอฟริกาใต้เมื่อเดือนพฤศจิกายนกำลังแพร่ระบาดในกว่า 70 ประเทศทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ประเทศไทย และฟิลิปปินส์ ขณะนี้ อินโดนีเซียมียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมกว่า 4.2 ล้านคน และผู้เสียชีวิตกว่า 143,900 คน.-สำนักข่าวไทย

ผลวิจัยฮ่องกงชี้โอไมครอนแพร่ในหลอดลมเร็วกว่าเดลตา 70 เท่า

ฮ่องกง 16 ธ.ค. – ผลวิจัยของมหาวิทยาลัยฮ่องกงระบุว่า เชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนสามารถเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็วในหลอดลมสูงถึง 70 เท่า เมื่อเทียบกับเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตา แต่เพิ่มจำนวนช้าลง 10 เท่าในเนื้อเยื่อปอดเมื่อเทียบกับเชื้อโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิม ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนมีอาการป่วยรุนแรงน้อยกว่า ผลวิจัยที่ได้รับการเผยแพร่โดยคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮ่องกง (HKUMed) ระบุว่า คณะนักวิจัยประสบความสำเร็จในการคัดแยกเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนและนำเนื้อเยื่อปอดจากผู้ป่วยติดเชื้อโควิดมาใช้ในการศึกษาการกลายพันธุ์ครั้งล่าสุด ผลการเปรียบเทียบเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนกับเชื้อโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิมพบว่า เชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วในหลอดลมมากกว่าเชื้อโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิมและเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตาถึง 70 เท่าหลังได้รับเชื้อโอไมครอนเป็นเวลา 24 ชั่วโมง อย่างไรก็ดี เชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนกลับเพิ่มจำนวนช้าลง 10 เท่าในเนื้อเยื่อปอด เมื่อเทียบกับเชื้อโควิดสายพันธุ์ดั้งเดิม ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนมีอาการป่วยรุนแรงน้อยกว่า ทั้งนี้ ผลวิจัยดังกล่าวกำลังได้รับการตรวจสอบจากคณะผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาการเพื่อตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ ผศ. ไมเคิล ชาน จือ-เว่ย อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮ่องกง ตั้งข้อสังเกตว่า อาการป่วยรุนแรงในผู้ป่วยติดเชื้อโควิดไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเพิ่มจำนวนของเชื้อโควิดเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงระบบตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยติดเชื้อด้วย นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนเป็นวงกว้าง อาจทำให้เกิดอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ แม้เชื้อดังกล่าวจะทำให้เกิดอาการป่วยรุนแรงน้อยลงก็ตาม.-สำนักข่าวไทย

รถบรรทุกน้ำมันระเบิดในเฮติ ตายเพิ่มเป็น 75 ราย

แคป-เฮเตียน 15 ธ.ค. – เหตุรถบรรทุกน้ำมันพลิกคว่ำและระเบิดในเฮติมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 75 ราย ขณะที่แพทย์เฮติกำลังเร่งรักษาผู้บาดเจ็บจำนวนมากที่แห่เข้าไปรุมตักน้ำมันจากรถคันดังกล่าว สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า เจ้าหน้าที่กู้ภัยพบศพผู้เสียชีวิต 61 รายหลังเกิดเหตุรถบรรทุกน้ำมันพลิกคว่ำและระเบิดในเมืองแคป-เฮเตียน ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของเฮติ เมื่อช่วงค่ำวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหลักของเมืองแคป-เฮเตียนเผยว่า มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 14 รายในขณะที่เข้ารับการรักษาอาการบาดเจ็บสาหัส เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ได้พยายามช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่โรงพยาบาลมีขีดความสามารถไม่เพียงพอที่จะรองรับผู้บาดเจ็บจำนวนมากขนาดนี้ ทั้งยังระบุเพิ่มเติมว่า ปัญหาขาดแคลนน้ำมันในเฮติทำให้ประชาชนขาดความระมัดระวังและไม่ยอมปฏิบัติตามมาตรการป้องกันด้านน้ำมันเชื้อเพลิงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหตุรถบรรทุกน้ำมันระเบิดครั้งใหญ่เมื่อช่วงค่ำวันจันทร์ทำให้อาคารบ้านเรือน ร้านค้า รถยนต์ และรถจักรยานยนต์เสียหายเป็นจำนวนมาก ผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์สว่า รถบรรทุกน้ำมันคันดังกล่าวประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำหลังคนขับพยายามหักหลบรถจักรยานยนต์ และมีชาวเฮติจำนวนหนึ่งมารุมตักน้ำมันจากรถบรรทุก แม้คนขับจะเตือนไม่ให้ทุกคนเข้าใกล้รถจนกระทั่งเกิดเหตุระเบิดรุนแรงในเวลาต่อมา.-สำนักข่าวไทย

อังกฤษพบผู้ป่วยโควิดรายใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์

ลอนดอน 16 ธ.ค. – อังกฤษพบยอดผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 รายใหม่ 78,610 คน ถือเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่พบการระบาดครั้งแรกในประเทศ และทำลายสถิติสูงสุด 68,053 คนเมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่อังกฤษกำลังอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ คริส วิตตี หัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์ของอังกฤษแถลงเมื่อวันอังคารตามเวลาท้องถิ่นว่า ยอดผู้ป่วยติดเชื้อโควิดรายใหม่ในอังกฤษจะพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า และเตือนให้ประชาชนพิจารณาถึงความสำคัญในการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมในช่วงเทศกาลคริสต์มาส รวมถึงสนับสนุนให้ชาวอังกฤษตรวจหาเชื้อโควิดก่อนเดินทางไปเยี่ยมผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อโควิดสูง หากเป็นไปได้ ควรพบปะกันในสถานที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวกหรือที่กลางแจ้ง ทั้งยังระบุว่า อังกฤษกำลังเผชิญกับการระบาดของเชื้อโควิด 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์โอไมครอนที่แพร่ระบาดได้เร็วขึ้นกว่าเดิม และสายพันธุ์เดลตา ในขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิดเข็มที่สามเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และเตือนว่าบางพื้นที่อาจมีอัตราผู้ป่วยติดเชื้อโควิดรายใหม่เพิ่มขึ้นสองเท่าภายในสองวันนี้ ทั้งยังระบุเพิ่มเติมว่า เขาเกรงว่าอังกฤษจะเผชิญกับยอดผู้ป่วยติดเชื้อที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ทั่วประเทศเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อน และในกรุงลอนดอนอาจเพิ่มขึ้นสูงถึงเกือบร้อยละ 33 บรรษัทแพร่ภาพกระจายเสียงอังกฤษ หรือบีบีซี รายงานอ้างข้อมูลของทางการอังกฤษที่ระบุว่า อังกฤษฉีดวัคซีนโควิดเข็มที่สาม 656,711 โดสเมื่อวันพุธ เพิ่มขึ้นจากวันอังคารที่ฉีดได้ราว 140,000 โดส และมีผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด 165 […]

“ฮุน เซน” จะตั้ง รมว.ต่างประเทศกัมพูชาเป็นทูตพิเศษเมียนมา

พนมเปญ 15 ธ.ค. – นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ของกัมพูชา เผยวันนี้ว่า จะแต่งตั้งนายปรัก สุคน รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของกัมพูชาให้ดำรงตำแหน่งทูตพิเศษด้านกิจการเมียนมาคนใหม่ของอาเซียน หลังจากที่กัมพูชาได้รับมอบตำแหน่งประธานอาเซียนประจำปี 2565 ต่อจากบรูไน นายกรัฐมนตรีฮุน เซน กล่าวคำปราศรัยในพิธีเปิดโรงแรมหรูแห่งหนึ่งที่กรุงพนมเปญของกัมพูชาว่า เขาขอยืนยันว่าจะแต่งตั้งนายปรัก สุคน รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของกัมพูชาให้ดำรงตำแหน่งทูตพิเศษด้านกิจการเมียนมาคนใหม่ของอาเซียน ทั้งยังระบุว่า เขาจะเดินทางเยือนเมียนมาในวันที่ 7-8 มกราคมปีหน้า และกัมพูชาจะพยายามอย่างสุดความสามารถในฐานะประธานอาเซียนประจำปี 2565 เพื่อส่งเสริมให้อาเซียนเป็นครอบครัวเดียวกัน ทั้งนี้ นายสุคนจะดำรงตำแหน่งทูตพิเศษด้านกิจการเมียนมาของอาเซียนต่อจากนายเอรีวัน ยูซอฟ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของบรูไน โดยที่ตำแหน่งดังกล่าวมีขึ้นเพื่อติดตามการปฏิบัติตามหลักฉันทามติ 5 ข้อที่รัฐบาลทหารเมียนมาได้ตกลงไว้กับอาเซียนเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา รวมถึงหน้าที่อำนวยความสะดวกในขั้นตอนเจรจา และการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เมียนมา.-สำนักข่าวไทย

เรือพลิกคว่ำนอกชายฝั่งมาเลเซีย เสียชีวิต 10 ราย

กัวลาลัมเปอร์ 15 ธ.ค. – เรือเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำนอกชายฝั่งใกล้ชายหาดของเมืองตันจัง บาเลา ในรัฐยะโฮร์ของมาเลเซีย ทำให้มีผู้เสียชีวิตที่คาดว่าเป็นแรงงานต่างชาตินอกระบบ 10 รายลอยเกยหาด และมีผู้สูญหายอีก 29 คน โฆษกหน่วยดับเพลิงและกู้ภัยของรัฐยะโฮร์ระบุว่า เรือดังกล่าวบรรทุกผู้โดยสาร 60 คนก่อนประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำ และมีผู้พบเห็นเรือลอยอยู่นอกชายฝั่งของเมืองตันจัง บาเลา ราว 20 เมตรเมื่อเวลา 07.40 น. ของวันนี้ตามเวลาท้องถิ่น โฆษกคนดังกล่าวระบุว่า พบศพผู้เสียชีวิตถูกคลื่นพัดมาเกยหาด 10 ราย เป็นผู้หญิง 4 ราย และผู้ชาย 6 ราย แต่สามารถช่วยชีวิตผู้โดยสารบนเรือไว้ได้ 21 คน และยังมีผู้สูญหายอีก 29 คน ขณะนี้ เจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังเร่งปฏิบัติการค้นหาผู้รอดชีวิตต่อไป ในขณะเดียวกัน ผู้อำนวยการสำนักงานบังคับใช้กฎหมายทางทะเลของมาเลเซีย หรือเอ็มเอ็มอีเอ เผยว่า คาดว่าผู้โดยสารบนเรือลำดังกล่าวลักลอบเข้ามาในน่านน้ำมาเลเซียโดยผิดกฎหมายก่อนที่เรือประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำ เนื่องจากสภาพอากาศย่ำแย่ ทั้งนี้ เขาได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ของเอ็มเอ็มอีเอลงพื้นที่เกิดเหตุเพื่อช่วยค้นหาผู้สูญหายอีก 29 คนแล้ว.-สำนักข่าวไทย

“บลิงเคน” เผยสหรัฐจะใช้มาตรการเพิ่มกดดันเมียนมา

กัวลาลัมเปอร์ 15 ธ.ค. – นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐ เผยวันนี้ว่า สหรัฐกำลังพิจารณาใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา พร้อมเชิญผู้นำประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน เข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำร่วมกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ ในเดือนมกราคมปีหน้า นายบลิงเคนกล่าวในระหว่างเดินทางเยือนมาเลเซียว่า สหรัฐตั้งตารออย่างยิ่งต่อการจัดประชุมสุดยอดผู้นำนัดพิเศษร่วมกับอาเซียนในวันที่ 19 มกราคมปีหน้า สหรัฐจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ก่อนถึงการประชุมดังกล่าวเพื่อพิจารณาใช้ขั้นตอนและมาตรการเพิ่มเติมในการกดดันให้เมียนมาหวนคืนสู่ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอีกครั้ง และกำลังทบทวนอย่างจริงจังเกี่ยวกับการกระทำของรัฐบาลทหารเมียนมาว่าเข้าข่ายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือไม่ นายบลิงเคนยังระบุว่า นอกจากประเด็นสถานการณ์วิกฤตในเมียนมาแล้ว คาดว่าการประชุมสุดยอดดังกล่าวจะมีการหารือในประเด็นต่าง ๆ เช่น การระบาดของโรคโควิด-19 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การลงทุน และระบบโครงสร้างพื้นฐาน ขณะนี้ นายบลิงเคน ซึ่งเคยระบุว่า 10 ประเทศสมาชิกอาเซียนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก กำลังปฏิบัติภารกิจเยือนประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และได้เดินทางเยือนมาเลเซียเป็นประเทศที่สองในวันนี้ หลังเสร็จสิ้นภารกิจเยือนอินโดนีเซียเมื่อวันอังคาร โดยเขาระบุในกรุงจาการ์ตาของอินโดนีเซียว่า สหรัฐได้ดำเนินยุทธศาสตร์เพื่อกระชับความสัมพันธ์ในสนธิสัญญาไมตรีกับทวีปเอเชียด้วยข้อเสนอเพื่อส่งเสริมการทำงานด้านข่าวกรองและการป้องกันร่วมกับพันธมิตรในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกที่มีความวิตกกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการขยายอิทธิพลของจีน.-สำนักข่าวไทย

รถบรรทุกน้ำมันระเบิดในเฮติ เสียชีวิต 62 ราย

แคป-เฮเตียน 15 ธ.ค. – รถบรรทุกน้ำมันเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำและระเบิดรุนแรงในเฮติเมื่อวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 62 ราย หลังชาวเฮติต่างพากันไปรุมแย่งตักน้ำมันที่เป็นสินค้าราคาแพงจากรถคันดังกล่าวจนถูกไฟคลอกเสียชีวิต เนื่องจากเฮติกำลังประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมันฉับพลัน นายกรัฐมนตรีอาเรียล อองรี ของเฮติ ได้ลงพื้นที่ตรวจเหตุรถบรรทุกน้ำมันระเบิดที่เมืองแคป-เฮเตียน ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของเฮติ พร้อมทั้งกล่าวหลังไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บหลายสิบคนที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งว่า เขารู้สึกเสียใจอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งยังระบุผ่านทวิตเตอร์ว่า เขาได้อนุมัติเงินช่วยเหลือฉุกเฉินเพื่อนำมาใช้รับมือกับเหตุโศกนาฏกรรมในครั้งนี้แล้ว ขณะที่นายแพทริค อัลโมนอร์ รองนายกเทศมนตรีของเมืองแคป-เฮเตียนเผยว่า ขณะนี้พบผู้เสียชีวิตจากเหตุดังกล่าว 62 ราย และเจ้าหน้าที่กู้ภัยยังคงเดินหน้าค้นหาผู้เสียชีวิตหรือผู้บาดเจ็บเพิ่มในอาคารที่ตั้งอยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุ ทั้งยังระบุว่า มีผู้เสียชีวิตหลายสิบรายที่ถูกไฟเผาทั้งเป็น และเป็นเรื่องยากที่จะระบุตัวผู้เสียชีวิต ทางการเฮติคาดการณ์ว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นจากรถบรรทุกน้ำมันประสบเหตุพลิกคว่ำ เนื่องจากคนขับไม่สามารถควบคุมรถไว้ได้ในขณะที่หักหลบรถจักรยานยนต์รับจ้าง ส่วนผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันพลเรือนของเฮติระบุว่า หลังเกิดอุบัติเหตุดังกล่าวชาวเฮติจำนวนมากได้ฉวยโอกาสเข้าไปตักน้ำมันเชื้อเพลิงจากรถบรรทุกใส่ภาชนะที่เตรียมมาเอง จนกระทั่งเกิดระเบิดครั้งใหญ่ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมีอาคารบ้านเรือนราว 40 หลังที่ได้รับความเสียหายเช่นกัน.-สำนักข่าวไทย

1 148 149 150 151 152 315