ฤดูแล้งปี 68 ไม่รุนแรงเท่าปีที่ผ่านมา

กรุงเทพฯ 6 ม.ค. – “ประเสริฐ” เรียกประชุม กนช. ประเดิมต้นปี 68 ไฟเขียวโครงการแก้ไขปัญหาอุทกภัย พร้อมสั่งหน่วยงานป้องกันเชิงรุก ลดความเสี่ยงขาดแคลนน้ำฤดูแล้งนี้ เลขาธิการ สทนช. ระบุว่าฤดูแล้งปี 2568 รุนแรงน้อยกว่าปีที่แล้วเนื่องจากปริมาณน้ำในเขื่อนมีมากกว่าและอยู่ในสภาวะลานีญา ต่างจากปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นเอลนีโญ แต่ต้องเฝ้าระวังการขาดแคลนน้ำเพื่อการผลิตประปาท้องถิ่น


นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ 1/2568 โดยมี ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยรองนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ในวันนี้ได้ติดตามความก้าวหน้าการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์น้ำในช่วงฤดูแล้ง และได้มอบหมาย สทนช. บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งขับเคลื่อน 8 มาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2567/68 เพื่อเป็นการดำเนินการป้องกันในเชิงรุกก่อนเกิดภัยแล้ง รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจังหวัด สร้างการรับรู้และความเข้าใจกับประชาชนในการบริหารจัดการน้ำอย่างมีส่วนร่วม เพื่อป้องกันความขัดแย้งในพื้นที่และรณรงค์การใช้น้ำอย่างประหยัด พร้อมมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณน้ำใช้การน้อย โดยบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้มีน้ำใช้ได้อย่างเพียงพอตลอดฤดูแล้งและต่อเนื่องจนถึงต้นฤดูฝน ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ (ร่าง) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2568 จำนวน 19,970 รายการ โดยให้ สทนช.นำแผนปฏิบัติการภายใต้โครงการดังกล่าว เสนอสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาต่อไป

ที่ประชุมยังได้พิจารณาแผนงานโครงการด้านทรัพยากรน้ำต่างๆ ซึ่งผ่านการจัดลำดับความสำคัญและกลั่นกรองตามระบบ ซึ่งบางโครงการมีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาและส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบโครงการตามที่หน่วยงานเสนอ ประกอบด้วย


  1. โครงการปรับปรุงระบบชลประทานเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง
    เป็นโครงการที่ใช้ในการบริหารจัดการน้ำหลากและน้ำฝนในพื้นที่เจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง โดยเริ่มตั้งแต่คลองระพีพัฒน์จนถึงสถานีสูบน้ำและประตูระบายน้ำต่าง ๆ บริเวณชายทะเลอ่าวไทย สามารถป้องกันและลดปัญหาพื้นที่น้ำท่วมได้เฉลี่ย 298,250 ไร่ บริเวณพื้นที่ชุมชนและเขตเศรษฐกิจที่สำคัญ อีกทั้งยังเป็นแหล่งเก็บกักน้ำในช่วงฤดูแล้งได้อีก 17 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีด้วย โดยมอบหมายกรมชลประทานดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเร่งรัดจัดทำแผนการจัดการสิ่งรุกล้ำร่วมกับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) และกระทรวงมหาดไทยที่อยู่ภายในเขตคลองให้สอดคล้องกับแผนงานก่อสร้างทั้งโครงการ รวมถึงดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามแผนงานที่กำหนดอย่างเคร่งครัด
  2. แผนหลักการปรับปรุงแม่น้ำสายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัย – โคลนแบบยั่งยืนบริเวณด่านการค้าชายแดนแม่สาย พื้นที่ชุมชน พื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของเทศบาลตำบลแม่สาย และพื้นที่ต่อเนื่อง จังหวัดเชียงราย โดยที่ประชุมเห็นชอบให้กรมโยธาธิการและผังเมือง ศึกษาและบูรณาการแผนงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการจัดทำแผน โดยพิจารณาให้มีความเหมาะสมทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และวิศวกรรม
  3. การขับเคลื่อนโครงการก่อสร้างระบบระบายน้ำหลักเพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนเมืองพัทยา ระยะที่ 1 จังหวัดชลบุรี

เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จจะสามารถรองรับการระบายน้ำในพื้นที่พัทยาใต้ พัทยากลาง และถนนเทพประสิทธิ์ รวมประมาณ 15 ตารางกิโลเมตร (9,375 ไร่) ได้ประโยชน์ 37,300 ครัวเรือน โดยให้เมืองพัทยาพิจารณาเร่งรัดดำเนินโครงการ และมอบกรมโยธาธิการและผังเมืองทบทวนการศึกษาแผนหลักการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและการระบายน้ำฯ เมืองพัทยา รวมทั้งศึกษาและออกแบบรายละเอียดในแผนงานระยะเร่งด่วนให้สอดคล้องแผนงานที่ได้ดำเนินการไว้แล้ว

เลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมยังได้เห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี ที่ผ่านการตรวจสอบกลั่นกรองและมีความพร้อม จำนวน 53,969 รายการ ซึ่งรวมถึงโครงการป้องกันน้ำท่วมภายในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี ที่บรรจุเข้ามาเพิ่มเติมเนื่องจากเป็นโครงการสำคัญที่ต้องดำเนินการเร่งเด่วน โดยให้เทศบาลเมืองปัตตานีเสนอคณะกรรมการลุ่มน้ำพิจารณาให้ความเห็นก่อนขอรับ

การสนับสนุนงบประมาณ ทั้งนี้ ได้มอบหมาย สทนช. นำ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำดังกล่าว เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาในการจัดทำงบประมาณประจำปี ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ต่อไป พร้อมกันนี้ ยังได้รับทราบแผนงานโครงการตาม (ร่าง) แผน 3 ปี ด้านทรัพยากรน้ำและโครงการสำคัญ จำนวน 17,381 รายการ ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง อุทกภัย และน้ำอุปโภคบริโภค ตามนโยบายรัฐบาล โดยให้หน่วยงาน จังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นำแผนงานโครงการที่มีความพร้อมไปดำเนินการตามแนวทางการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ และเสนอขอรับงบประมาณตามความเหมาะสม โดย สทนช. จะติดตามความก้าวหน้าและเร่งขับเคลื่อนการดำเนินโครงการด้านทรัพยากรน้ำในพื้นที่ทุกจังหวัดอย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาวตามนโยบายของรองนายกรัฐมนตรี


สำหรับการจัดทำผังน้ำ ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ปัจจุบันผังน้ำลุ่มน้ำชีและลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนล่าง ซึ่งได้รับความเห็นชอบจาก กนช. แล้ว อยู่ในระหว่างการจัดเตรียมเอกสารเสนอประกาศในราชกิจจานุเบกษา

นอกจากนี้ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบผังน้ำเพิ่มเติมเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาอีก 3 ลุ่มน้ำ ได้แก่ ลุ่มน้ำสะแกกรัง ลุ่มน้ำวัง และลุ่มน้ำน่าน ในส่วนของลุ่มน้ำอื่น ๆ สทนช. จะเร่งดำเนินการตามขั้นตอนก่อนเสนอ กนช. พิจารณาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในทุกลุ่มน้ำต่อไป

เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า ขณะนี้เป็นฤดูฝนของภาคใต้ โดยช่วงกลางเดือนมกราคมยังต้องเฝ้าระวังปริมาณฝนที่จะเพิ่มขึ้น ขณะที่ตอนบนของประเทศอยู่ในห้วงฤดูแล้ง สถานการณ์น้ำในฤดูแล้งปีนี้ไม่รุนแรงเท่าปีที่ผ่านมาเนื่องจากปริมาณน้ำเก็กกักในเขื่อนมีมากกว่า รวมถึงอยู่ในสภาวะลานีญา ต่างจากปีที่แล้วซึ่งเป็นเอลนีโญ แต่ยังต้องเฝ้าระวังการขาดแคลนน้ำสำหรับการผลิตประปาท้องถิ่นในหลายจังหวัดซึ่งได้ประสานหน่วยงานต่างๆ เตรียมพร้อมเพื่อสนับสนุนแล้ว. -512 – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

“ขัตติยา” ชี้ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก.

กทม. 10 ส.ค.-“ขัตติยา” สส.เพื่อไทย ชี้โพลฯ ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพสูง แต่ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ X ถึงผลสำรวจล่าสุดของนิด้าโพล ที่ให้ความไว้วางใจกองทัพสูงกว่ารัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ ว่าอยากชวนมองภาพให้ครบว่า ทุกหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ล้วนทำงานร่วมเป็นทีมเดียวกัน ภายใต้ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยรวมเอาหลายภาคส่วนเข้ามาทำงานร่วมกัน ทั้งกระทรวงกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ทุกฝ่าย คือทีมไทยแลนด์ ที่แบ่งบทบาทหน้าที่และประสานงาน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือ การรักษาอธิปไตยของประเทศ และปกป้องความปลอดภัยของชีวิตประชาชน แม้กองทัพจะมีบทบาทสำคัญเป็นด่านหน้าในพื้นที่ชายแดน แต่ก็ไม่ได้ทำงานแยกเดี่ยวหรือเป็นอิสระจากภาคส่วนอื่นๆ หากทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกหน่วยงานภายใต้ร่มของ ศบ.ทก. ในสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้ ไม่มีหน่วยงานใดสามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้เพียงลำพัง ความสำเร็จต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน.-314.-สำนักข่าวไทย

วันแม่แห่งชาติ ขึ้นทางด่วนฟรี 𝟯 สายทาง

กทม. 9 ส.ค.-วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568 กทพ. แจ้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษรวม 𝟯 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 𝟮𝟭 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 𝟯𝟮 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 𝟭𝟬 ด่าน นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดพิเศษ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันรวม 4 วัน (9-12 สิงหาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์สถานการณ์ “คนไทย” เดินทาง “ท่องเที่ยวภายในประเทศ” วันหยุดยาวช่วงวันแม่แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2568 จะสร้างรายได้สะพัดทั่วประเทศ 13,750 ล้านบาท […]

“มาริษ” แจงโทรเคลียร์ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ปมถูกบิดเบือนคำพูด

สุรินทร์ 9 ส.ค. – “มาริษ” แจงโทรเคลียร์ “วิเวียน” รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ถูกบิดเบือนคำพูด ย้ำไม่ได้วิจารณ์เชิงลบ แต่ห่วงภาวะผู้นำทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบางสื่อบิดเบือนคำพูดของนายวิเวียน บาลากริชนิน (Vivian Balakrishnan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตนไม่สบายใจตั้งแต่ต้น และได้สะท้อนไปว่าการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้มักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และจะมีคนเอาคำพูดท่านไปใช้ประโยชน์ในการโจมตีทางการเมือง นายมาริษ เปิดเผยว่า ได้คุยโทรศัพท์กับนายวิเวียน เพื่อแสดงความห่วงกังวล เขายอมรับแล้วอนุญาตให้ช่วยชี้แจง อธิบายกับสื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลัก เพราะข้อความที่แปลผิดได้แพร่สะพัดอยู่ในโซเชียลมีเดีย “นายวิเวียนไม่ได้มีความประสงค์ที่จะไปตั้งคำถามในเรื่องภาวะผู้นำของใครทั้งสิ้น เขาเพียงแต่พูดว่าอยากเห็นการทูตทำงานอย่างเต็มที่ เพราะการทูตจะแก้ไขปัญหาได้หากอยู่ในจุดที่สมดุล และเมื่อไรที่ภาวะผู้นำถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม มันจะมีผลกระทบให้การแก้ไขปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น” นายมาริษ กล่าว นายมาริษ กล่าวย้ำว่า สิ่งที่นายวิเวียนพูด จะพยายามสื่อสารเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักว่าอยากเห็นผู้นำได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์.-319-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดขณะลาดตระเวน สูญเสียขาอีก 1 นาย

12 ส.ค.- ทหารพรานเหยียบทุ่นระเบิด ขณะลาดตระเวนพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม หลังรั้วลวดหนามฝั่งไทย คาดทหารเขมรล่าถอยแล้วฝังทุ่นระเบิดไว้ เมื่อเวลา 09.10 น. รายงานข่าวจากกองทัพพื้นที่สองเปิดเผยว่า ได้เกิดเหตุทหารพราน 2610 เหยียบกับระเบิดขณะทำการลาดตระเวนบริเวณฐานจุ๊บตาโมก ฝั่งตะวันตกของปราสาทตาเมือนธม ซึ่งอยู่ในแนวรั้วลวดหนามของฝั่งประเทศไทย บริเวณพิกัด R51 มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 นาย ทราบชื่อ ส.อ.ธีรพล เพียขันที กรุ๊ปเลือด AB ได้รับบาดเจ็บขาซ้ายขาด ขณะนี้กำลังนำส่งโรงพยาบาล ทั้งนี้ คาดว่าหลังจากเหตุปะทะกันทางทหารกัมพูชาได้ล่าถอยและฝั่งทุ่นระเบิดไว้ก่อนออกนอกพื้นที่เขตประเทศไทย -สำนักข่าวไทย

“แพทองธาร” ปัดตอบกระแสข่าวชิงลาออก บอกสื่อ “คิดถึงนะคะ”

สนามหลวง 12 ส.ค.- “แพทองธาร” ยิ้ม ปัดตอบกระแสข่าวชิงลาออก ก่อนศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน บอกสื่อฯ “คิดถึงนะคะ” ภายหลังนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมคู่สมรส ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 ส.ค.2568 ณ ท้องสนามหลวง ทันทีที่พบผู้สื่อข่าว นางสาวแพทองธาร หันมาพูดเพียงสั้น ๆ ว่า “คิดถึงนะ” ผู้สื่อข่าวจึงพยายามสอบถามเรื่องกระแสข่าวการลาออกจากตำแหน่ง ก่อนศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำตัดสิน คดีคลิปเสียงสนทนากับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งนางสาวแพทองธาร ยิ้มและไม่ตอบคำถาม ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ หรือสุดท้ายจะอยู่ รวมถึงขอให้ยืนยันว่าจะลาออกหรือไม่ ซึ่งนางสาวแพทองธาร ไม่ได้ตอบคำถาม และเดินทางขึ้นรถทันที.-315 -สำนักข่าวไทย

“ภูมิธรรม” นำทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในวันแม่แห่งชาติ

สนามหลวง 12 ส.ค.- “ภูมิธรรม” เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา “พระพันปีหลวง” 12 สิงหาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2568 โดยมีประธานองคมนตรีและภริยา คณะองคมนตรีและภริยา ประธานรัฐสภา ประธานศาลฎีกา ประธานองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หน่วยราชการในพระองค์ คณะรัฐมนตรีพร้อมคู่สมรส เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการเหล่าทัพและภริยา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและภริยา ปลัดกระทรวงทุกกระทรวง และผู้แทนภาคเอกชน ร่วมพิธี โดยเมื่อนายภูมิธรรม เดินทางถึงปะรำพิธีท้องสนามหลวง สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ จำนวน 10 รูป ขึ้นนั่งอาสน์สงฆ์ นายภูมิธรรม จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ถวายคำนับและถวายธูปเทียนแพหน้าพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เจ้าหน้าที่อาราธนาศีล สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ จำนวน […]

เตือนทั่วไทยฝนตกต่อเนื่อง ‘ตะวันออก’ หนักสุด

กทม. 12 ส.ค.- กรมอุตุฯ เผยทั่วไทยฝนตกต่อเนื่อง เตือนภาคตะวันออกรับมือฝนถล่ม อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก กรมอุตุนิยมวิทยาเผยประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่บริเวณภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย เนื่องจากมีร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ ประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนและอ่าวไทยตอนบน มีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างมีคลื่นสูง 1 – 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย อนึ่ง พายุไต้ฝุ่น “โพดุล” (PODUL) บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก คาดว่าจะเคลื่อนผ่านเกาะไต้หวัน และเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณด้านตะวันออกของประเทศจีนในช่วงวันที่ 13 – 14 ส.ค. โดยพายุนี้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย – สำนักข่าวไทย