กรุงเทพฯ 14 พ.ค.- กลุ่มไฟฟ้า ปรับแผนรับวิกฤติโควิด-19 ไตรมาส 1/ 64 GULF กำไร 2,390 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 158% SPCG กำไร 782.3 ล้านบาท ลดลง 7%
บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2564 มีรายได้รวม (Total Revenue) 9,990 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% กับช่วงเดียวกันกับปีที่แล้ว มีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) 2,390 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 158% สาเหตุหลักมาจากรับรู้รายได้เงินปันผลจาก INTUCH จำนวน 683 ล้านบาท, รับรู้ผลกำไรของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล Borkum Riffgrund 2 (BKR2) ในประเทศเยอรมนี จำนวน 400 ล้านบาทตามสัดส่วนการถือหุ้น 50%, รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัท ปตท. จำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด (PTT NGD) จำนวน 52 ล้านบาทจากการที่ GULF เข้าไปลงทุนในสัดส่วน 40% ในเดือนธันวาคม 2563 และกำไรที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มโรงไฟฟ้า 12 SPP ภายใต้กลุ่ม GMP เนื่องจากปริมาณการขายไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มบรรจุภัณฑ์ ยานยนต์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ยังรับรู้กำไรเต็มไตรมาสของโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลกัลฟ์ จะนะ กรีน (GCG) เทียบกับปีก่อนที่รับรู้เพียง 1 เดือน นับจากวันเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในวันที่ 1 มีนาคม 2563
ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ “SPCG” เปิดเผยผลประกอบการ ไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2564 มีรายได้รวมจากการขายและให้บริการราว 1,172.7 ล้านบาท ลดลง 19% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน (ที่ทำได้ 1,454.7 ล้านบาท) กำไรสุทธิได้ 782.3 ล้านบาท ลดลง 7%
สาเหตุจากเงินอุดหนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) จำนวน 8 บาทต่อหน่วยของ บริษัท โซล่า เพาเวอร์ (สกลนคร 1) จำกัด ที่มีกำลังผลิตราว 7.46 เมกะวัตต์ (ซึ่งเป็น 1 ใน 36 โซลาร์ฟาร์มของบริษัท) ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 ทั้งๆ ที่ โครงการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าได้ 105.1 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 3.2 ล้านหน่วย จากปี 2563 ที่ทำได้ (101.9 ล้านหน่วย) หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 อย่างไรก็ตามแม้ค่าแอดเดอร์จะหมดไป แต่บริษัทยังคงได้รับรายได้จากการขายไฟในอัตราค่าไฟฐาน (Base Tariff) ตามปกติ
นอกจากนั้นบริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด หรือ “SPR” (บริษัทในเครือ SPCG) ผู้นำด้านการออกแบบและติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) มีรายได้ที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน เหตุจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและผลกระทบต่อเนื่องจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ลูกค้าชะลอการลงทุนติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof)
ดังนั้นบริษัทจึงปรับแผนงานขายและกลยุทธการตลาดใหม่ ให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ โดยเพิ่มทางเลือกที่หลากหลายให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น โดยชูนโยบายช่วยลูกค้าลดต้นทุนดำเนินงานด้วยการประหยัดค่าไฟ ทำกำไรได้เพิ่มขึ้น และได้รับงานบริการหลังการขายที่ดี ในขณะเดียวกัน SPCG ยังคงเดินหน้านโยบายปรับลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการต้นทุนด้านต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ต้นทุน O&M (Operating & Maintenance) สำหรับธุรกิจโซลาร์ฟาร์มทั้งในปัจจุบันและอนาคตลดลงอย่างเป็นนัยสำคัญ ทั้งนี้เพื่อเป็นการเสริมสร้างสภาพคล่องและรักษากำไรของบริษัท โดยในปี 2564 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโตราว 10% หรือประมาณ 5,500 ล้านบาท -สำนักข่าวไทย