กรุงเทพฯ 6 มี.ค.- นายกรัฐมนตรี เผยเตรียมลงพื้นที่พบประชาชนมากขึ้น หลังโควิด-19 คลี่คลาย ชี้สถานการณ์ในประเทศดีขึ้น หลังวัคซีนเข้ามา เตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หวังประชาชนใช้ชีวิตตามปกติ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวในรายการ PM PODCAST นายกรัฐมนตรีเล่าเรื่อง กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทางเพจไทยคู่ฟ้า ว่าเข้าสู่เดือนมีนาคมแล้ว ขอฝากประชาชนติดตามกรมอุตุนิยมวิทยา ที่ประกาศเตือนว่าไทยเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว ให้ระมัดระวังพายุฤดูร้อน รักษาสุขภาพ อาหารการกิน ที่สำคัญต้องประหยัดน้ำ ทั้งนี้หน่วยางนต่างๆ ได้เตรียมการแก้ไขปัญหาน้ำไว้อย่างต่อเนื่อง
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่วัคซีนป้องกันโควิด-19 จากบริษัทชิโนแวค จำนวน 200,000 โดส เดินทางมาถึงประเทศไทยแล้ว เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ได้รับวัคซีนจากจีนในเชิงพาณิชยน์ ไม่ใช่การบริจาคแต่อย่างใด ทั้งนี้ไทย จีน ถือเป็นความสมพันธ์ฉันท์มิตร ที่จีน และไทย มีให้กัน โดยอีก 8 แสนโดส และอีก 1 ล้านโดสก็จะทยอยมาตามลำดับ ในเดือนต่อไป หลังจากนั้นได้มีการทยอยกระจายวัคซีนไปยัง 13 จังหวัด นำไปฉีดในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งเป็นบุคคลากรทางการแพทย์ ถึง 116,000 โดส กลุ่มนี้มีอาการข้างเคียงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก็ถือว่าต้องแก้ปัญหากันต่อไป
ทั้งนี้ ครม.ยังอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อจัดซื้อวัคซีนจากบริษัแอสตราเซเนก้า อีก 35 ล้านโดส งบประมาณถึง 6,300 ล้านบาท ย้ำบริษัทเอกชนสามารถที่จะขอขึ้นทะเบียนน้ำเข้าวัคซีนได้ ซึ่งขณะนี้มี 4 บริษัทแล้ว พร้อมย้ำว่า กระแสวิจารณ์ ที่ จ.เชียงใหม่ เรื่องฉีดวัคซีนให้กับวีโอพีนั้น ไม่เป็นความจริง ทุกอย่างเป็นไปตามเกณฑ์ที่ระบุไว้ทางการแพทย์ ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนไว้ โดยขอให้ประชาชนสบายใจได้ และหลังจากนี้ก็จะมีการกระจายไปยังพื้นที่ท่องเที่ยวต่อไป และยังย้ำอีกว่า เมื่อวัคซีนเข้ามาในประเทศจะทำให้สถานการณ์โควิดในไทยดีขึ้น แต่ต้องมีมาตรการควบคุมโรคควบคู่กันด้วย ซึ่งไทยถือว่ามีตัวเลขผู้ติดเชื้อน้อยลง ทำให้คลี่คลายตามลำดับ หลังจากนี้ก็จะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้ประชาชนใช้ชีวิตทำมาหากินด้วยความปกติ โดยตนเองวางแผนไว้ จะลงพื้นที่เยี่ยมเยือนประชาชนบ่อยขึ้น เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พร้อมย้ำจะบริหารงบประมาณในการช่วยเหลือประชาชนอย่างเหมาะสม พร้อมขอประชาชนได้เข้าใจสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำเช่นกัน แต่สำหรับประเทศไทยเอสแอนพีมูดี้ และฟิต (Fitch) ได้จัดอันดับ คงอันดับความน่าเชื่อถือว่ามีเงินสำรองอยู่ในอันดับที่สูง เสถียรภาพ วินัยทางการคลัง อยู่ในเกณฑ์ดี ฐานะเงินคงคลัง เมื่อเดือนธันวาคม 2563 อยู่ ที่ 473,000 ล้านบาท มากกว่าปีก่อนหน้านี้ถึง ร้อยละ 49.5 หลังจากนี้กระทรวงการคลังคาดว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในไทยจะขยายตัวมากขึ้น เนื่องจากมีวัคซีน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทั้งโครงการเราชนะ คนละครึ่ง เรารักกัน และอื่นๆ ซึ่งพบว่ามีการจับจ่ายใช้สอย ในช่วงเทศกาลสำคัญเป็นอย่างดี นายกฯ ยังเชิญชวนให้เข้าไปใช้สิทธิมาตรการเราเที่ยวด้วยกัน ที่แม้จองสิทธิเข้าพักเต็มแล้ว แต่ยังเหลือในส่วนของตั๋วเครื่องบินที่ยังไม่เต็ม พร้อมขอให้ติดตามมาตรการด้านสินเชื่อที่รัฐบาลทยอยออกไป
นายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยว่า หลังมีการเยียวยาในโครงการเราชนะ เมื่อปี 2564 พบว่า มียอดการใช้จ่ายสะสมไปแล้วถึง 690,000 ล้านบาท ขณะที่โครงการเรารักกัน ก็จะเปิดให้ลงทะเบียนถึง 7 มีนาคมนี้ และตรวจสอบสิทธิ ก่อนโอนเงินก้อนแรก 22 มีนาคมนี้ เป็นต้นไป ยังมีมาตรการลดค่าน้ำ ค่าไป อย่างต่อเนื่อง.-สำนักข่าวไทย