สธ. 2 ก.พ.- หมอทวี เผยเตรียมเสนอปูพรมวัคซีนโควิดเข็มแรกก่อน หวั่นไวรัสกลายพันธุ์ ตอบสนองต่อวัคซีนลด หลังบทเรียน อังกฤษ และแอฟริกาใต้ เจอผลการตอบสนองวัคซีนต่างกันถึงร้อยละ 30 คาดวัคซีนโควิดมาถึงไทยตามกรอบ สัปดาห์ที่ 3 ของเดือน ก.พ.
นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ผู้ทรงคุณในคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ กระกล่าวถึงการติดตามสถานการณ์การฉีดวัคซีนโควิด-19 ว่า ขณะนี้ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เชี่ยวชาญมีแนวคิดเรื่องของการปูพรมฉีดวัคซีน หลังจากสหรัฐอเมริกามีการปรับแผนการฉีด ให้ประชากรได้รับวัคซีนเข็มแรกมากที่สุด เนื่องจากสถานการณ์การกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต หลังอังกฤษ บราซิล และแอฟริกาใต้เจอกับปัญหาการกลายพันธุ์ และส่อว่าจะทำให้การตอบสนองต่อวัคซีนลดลง โดยข้อมูลของนาโนแวกซ์ อังกฤษ แอฟริกาพบว่า การฉีดวัคซีน ให้ผลต่างกันถึงร้อยละ 30 โดยอังกฤษ ตอบสนองต่อวัคซีนร้อยละ 90 แอฟริกา ร้อยละ 60 แม้ไทยไม่มีปัญหาเรื่องการกลายพันธุ์ แต่ก็ควรปรับแผนการฉีดมีความเป็นไปได้ที่ จะต้องมีการเข็มแรกให้มากที่สุด เพราะการฉีดเข็ม 2 จะให้ผลดีเมื่อ 3 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งเชื่อว่าถึงวันนั้นกว่าจะได้รับวัคซีนเข็ม 2 ก็ไม่มีปัญหาถึงเวลานั้นน่าจะมีวัคซีน เข้ามาหรือผลิตได้เองในประเทศ โดยเป็นของ บ.แอสตราเซเนกา
นพ.ทวี กล่าวว่า จำเป็นต้องจับตาการกลายพันธุ์ใกล้ชิด ส่วนการมาของวัคซีนแอสตราฯ จากอิตาลี 50,000 โดส ที่ติดเรื่องการจำกัดการส่งออกของอียู นั้น คาดว่าจะมาตามกรอบภายในเดือนกุมภาพันธ์ หรือราวสัปดาห์ที่ 3 จากนั้นจะตรวจประสิทธิภาพอีก 1 สัปดาห์ จึงจะสามารถเริ่มฉีดวัคซีนได้ ทั้งนี้ขอให้มั่นใจประสิทธิ์ภาพของวัคซีน โดยพบวัคซีนของไซเฟอร์ ที่สหรัฐอเมริกา ก่อให้เกิดภาวะช็อกแพ้รุนแรงหมดสติ 11 ต่อ 1 ล้านคน ส่วนโมเดิร์นา เกิดภาวะช็อกรุนแรง 3.7 ต่อ 1 ล้านคน ส่วนการแพ้ในวัคซีนไข้หวัดใหญ่ พบแค่ 1 ต่อ 1 ล้านคน และพบว่าการแพ้รุนแรงส่วนใหญ่ ร้อยละ 90 ในหญิงมากกว่าชาย และจะเกิดการแพ้ภายใน 15 นาทีหลังมีการฉีด ส่วนในวัคซีนแอสตราฯ ยังไม่มีข้อมูลแพ้รุนแรง ส่วนซิโนแวก ใช้วัคซีนเชื้อตายเป็นเทคโนโลยีเก่าเหมือนวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ถือว่าปลอดภัย แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยการฉีดวัคซีนขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล และเป็นเรื่องของความสมัครใจ และพบว่าผู้ป่วยภูมิแพ้ หรือหญิงตั้งครรภ์ยังไม่แนะนำให้รับการฉีดจนกว่าจะมีข้อมูลยืนยัน
นพ.ทวี กล่าวว่า สำหรับคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับวัคซีนยังคงเป็นบุคลากรด้านหน้าทั้งสายสาธารณสุขและสายความมั่นคงที่ทำหน้าที่ในการป้องกันและควบคุมโรคโควิด และต้องเป็นการรับวัคซีนด้วยความสมัครใจ สำหรับประชาชนยังคงเน้นในกลุ่มเสี่ยงผู้ป่วยโรคเรื้อรังเบาหวานความดันโลหิตสูงมะเร็งปอดอุดกั้นหัวใจ และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เพราะการฉีดวัคซีนเหล่านี้จะช่วยลดอัตราการป่วยและความรุนแรงของโรคให้ลดลง
ทั้งนี้วัคซีนโควิด จากแอสตราฯ จำนวน 50,000 โดสนี้ จัดอยู่ในกลุ่มวัคซีนจำนวน 26 ล้านโดส พร้อมจัดทำคู่มือการดูแลทารกติดเชื้อโควิด หลังพบมีทารก 26 วัน ติดเชื้อจากมารดา เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ.-สำนักข่าวไทย