กทม. 27 ธ.ค. – ตำรวจจับเครือข่าย 2 โรงแรมในชัยภูมิและภูเก็ต ทุจริตโครงการเราเที่ยวด้วยกัน พบทำเป็นขบวนการใหญ่ ฉ้อโกงเงินของรัฐ รวมกว่า 100 ล้านบาท
พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงผลการจับกุมขบวนการทุจริตโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ได้ผู้ต้องหา 50 คน หลังจากเมื่อช่วงเช้าวันนี้ (27 ม.ค.) ตำรวจกองปราบปราม ได้กระจายกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายรวม 55 จุด
โดยจุดหลัก ๆ อยู่ที่โรงแรมณัฐชญา รีสอร์ท และผู้เกี่ยวข้อง ในจังหวัดชัยภูมิ และใกล้เคียง จำนวน 41 หมายจับ ได้ผู้กระทำผิด 36 คน ซึ่งมีทั้งเจ้าของโรงแรม เจ้าของร้านค้า คนกลางรวบรวมสิทธิหรือสวมสิทธิ ผู้รับจ้างเปิดบัญชี ผู้รับจ้างบันทึกข้อมูลจองโรงแรม ซึ่งกระจายอยู่ในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ เลย นครราชสีมา ขอนแก่น เพชรบูรณ์ และศรีสะเกษ
พฤติการณ์ของกลุ่มผู้ต้องหา พบว่ามีการลงทะเบียนเป็นรีสอร์ตขนาดเล็ก มีห้องพักทั้งหมด 10 ห้อง ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม จนถึงปัจจุบัน มีผู้ใช้สิทธิในโครงการ จำนวน 9,263 ราย ยอดจองห้อง 92,028 ห้อง เฉลี่ย 1,000-3,000 ห้อง/วัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง และยังพบว่ากว่าร้อยละ 99 ของการจองห้องพัก 1 คน จะจอง 10 ห้องเต็มทุกครั้ง และเวลาในการเช็กอินและเช็กเอาต์ ทับซ้อนไม่สัมพันธ์กัน
นอกจากนี้ ยังพบว่า คูปองที่ได้รับหลังจากเช็กอินห้องพักที่ใช้สำหรับสแกนจ่ายกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ มียอดการใช้จ่ายที่สูงกว่าปกติ รวมมูลค่าความเสียหายในส่วนของโรงแรมนี้ 14 ล้านบาท และร้านค้าที่ร่วมกระทำผิด 101 ร้าน ความเสียหายรวมประมาณ 87 ล้านบาท
อีกจุดหลัก คือ ที่โรงแรมธาราป่าตอง จังหวัดภูเก็ต และเครือข่าย จับผู้กระทำผิดได้ 14 คน ซึ่งมีทั้งเจ้าของโรงแรม เจ้าของร้านค้า คนกลางรวบรวมสิทธิหรือสวมสิทธิ ผู้รับจ้างบันทึกข้อมูลจองโรงแรม และยังมีประชาชนที่ร่วมทุจริต รวมกว่า 800 ราย ซึ่งพฤติกรรมของกลุ่มนี้จะแตกต่างออกไป โดยโรงแรมจะร่วมกับผู้จัดทัวร์ เชิญชวนประชาชน หากจองห้องพักเต็มสิทธิ จะให้เข้าร่วมกิจกรรมทัวร์ 3 วัน 2 คืน โดยไม่มีการเข้าพักโรงแรมจริง นอกจากนี้ ผู้จัดทัวร์กิจกรรม ยังให้ประชาชนชำระค่าบริการในการทำกิจกรรม โดยให้สแกนคูปองที่ได้รับหลังการเช็กอินห้องพัก มาสแกนใช้จ่ายกับร้านค้าที่ตนเองควบคุมไว้ พบรัฐเสียหายจากโรงแรม 18 ล้านบาท และร้านค้าที่ร่วมกระทำผิด 2 ล้านบาท ความเสียหายเกือบ 4 ล้านบาท
พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการกองปราบปราม เปิดเผยว่า จากการสอบสวนพบผู้ต้องหามีการกระทำเป็นขบวนการ โดยจะมีผู้ซื้อสิทธิ ตามหาซื้อสิทธิในโครงการ โดยให้ค่าตอบแทนรายละ 400-500 บาท เมื่อประชาชนขายสิทธิให้แล้ว ผู้ซื้อสิทธิจะให้เจ้าของสิทธิติดตั้งแอปพลิเคชันเป๋าตังก่อน จากนั้นผู้ซื้อสิทธิจะนำโทรศัพท์ของเจ้าของสิทธิไปดำเนินการจองโรงแรม และใช้คูปอง หรืออีกวิธีหนึ่งคือ จะนำข้อมูลบัตรประชาชนและซิมการ์ดที่ลงทะเบียนแล้วไปขายต่อให้กับผู้สวมสิทธิ โดยจะขายให้ผู้สวมสิทธิ ในราคา 800-1,000 บาท เมื่อผู้สวมสิทธิได้รับสิทธิจากโครงการดังกล่าวแล้ว จะว่าจ้างให้ผู้ร่วมขบวนการกรอกข้อมูลเพื่อจองห้องพักกับทางโรงแรม โดยจะมีกลุ่มที่รับจ้างเปิดบัญชีธนาคารอีกกลุ่มหนึ่ง ที่คอยทำธุรกรรมทางการเงินแทนเจ้าของสิทธิ ซึ่งหลังจากที่ผู้สวมสิทธิทำการเช็กอินตามห้องพักที่ได้ทำการจองไว้ ทางผู้สวมสิทธิจะนำคูปองที่ได้รับหลังจากเช็กอินไปใช้จ่ายกับร้านค้าที่ตัวเองควบคุม
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่า หากสอบสวนพบว่ายังมีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องเพิ่มเติม จะต้องขยายผลดำเนินคดีเพิ่ม เช่น ประชาชนที่จงใจร่วมใช้สิทธิในลักษณะทุจริต โดยเบื้องต้นคาดว่ามีมากถึง 9,000 คนทั่วประเทศ และเตรียมเรียกตัวมาสอบสวนเพิ่มเติมในแต่ละพื้นที่
นอกจากนี้ ตำรวจยังพบลักษณะคล้ายกันนี้อีกหลายพื้นที่ โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวหลักและจังหวัดรอง รวมอีกกว่า 900 ราย โดยอยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม.-สำนักข่าวไทย