กรุงเทพฯ 17 ธ.ค.-ผอ.ใหญ่องค์การอนามัยโลก ชี้กระบวนการสมัชชาสุขภาพไทย เป็นกลไกที่ทรงพลังพร้อมบันทึกเป็นผลงานเด่นในคู่มือ WHO เผยแพร่ทั่วโลก ด้าน “อนุทิน” ปาฐกถาพิเศษ ย้ำบทเรียนความสำเร็จคุมโควิด-19 ไทย เกิดจากบูรณาการทุกภาคส่วน ชี้สงครามโรคครั้งนี้ยังไม่ยุติ จำเป็นต้องเว้นระยะห่างทางสังคมต่อไป

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเปิดงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ จัดโดยคณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (คจ.สช.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และภาคีเครือข่าย ภายใต้ประเด็นหลัก “พลังพลเมืองตื่นรู้… สู้วิกฤตสุขภาพ” โดยมีผู้แทนทุกภาคส่วนทั่วประเทศเข้าร่วมมากกว่า 2,000 คน ประชุมผ่านระบบออนไลน์ มีระเบียบวาระ ในเรื่องความมั่นคงทางอาหารในภาวะวิกฤตและการบริหารจัดการวิกฤตสุขภาพแบบมีส่วนร่วมกรณีโรคระบาดใหญ่ โดยขั้นตอนหลังจากนี้ คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) จะนำมติสมัชชาสุขภาพฯ เสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีรับทราบและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป

นายทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวปาฐกถาพิเศษระบบออนไลน์ชื่นชมประเทศไทยที่ผนึกกำลังทั้งภาครัฐและภาคสังคม รวมทั้งมีมาตรการที่รอบด้านทำให้สามารถควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ได้เป็นที่น่ายกย่องและยังกล่าวถึงสมัชชาสุขภาพของไทย ว่าเป็นตัวอย่างที่ทรงพลัง ทำให้เกิดกลไกการตัดสินใจแบบมีส่วนร่วมในระดับชาติ ซึ่งนำไปสู่ความเชื่อมั่นและไว้ใจกันระหว่างภาครัฐกับประชาชน ความเชื่อมั่นและความเนื้อเชื่อใจกันนี้เอง เป็นสิ่งจำเป็นในช่วงวิกฤต

“เรื่องราวของสมัชชาสุขภาพของไทยถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในผลงานเด่นที่จะบันทึกลงในคู่มือขององค์การอนามัยโลก เราตัดสินใจโดยไม่ลังเลที่จะนำเสนอเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของสังคมเพื่อสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจากภาคีเครือข่ายหลากหลาย ผ่านเวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งจะเผยแพร่ไปทั่วโลกในเร็วๆนี้” ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก กล่าว

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวปาฐกถาพิเศษ ว่า โควิด-19 เป็นโรคติดต่อร้ายแรงและเป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ที่รุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี โดยทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อกว่า 73 ล้านคน แต่ประเทศไทยพบผู้ป่วยประมาณ 4,200 คนเท่านั้น และหากนับตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.63 เป็นต้นมา ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อภายในประเทศเพียง 18 คน ขณะที่อีก 1,000 คน ติดเชื้อมาจากต่างประเทศ แม้ในช่วงแรกประเทศไทยจะถูกจับตามองว่าอาจเป็นศูนย์กลางการระบาดต่อจากประเทศจีน หากแต่ด้วยมาตรการที่จริงจัง ของรัฐ ศักยภาพของระบบสาธารณสุขและความร่วมมือของคนไทย ทำให้ประเทศยืนหยัดต่อสู้กับโควิด-19 มาได้จนได้รับคำชื่นชมจากองค์การอนามัยโลกและนานาชาติ

ความสำเร็จนี้เกิดจากความสามารถของแพทย์ พยาบาล บุคลากรด้านสาธารณสุข องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชนและประชาชน แสดงให้เห็นถึงการทำงานอย่างมีเอกภาพ รวดเร็วและมีคุณภาพ ตั้งแต่หัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่ ลงไปถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน อสม.และภาคประชาสังคม อย่างไรก็ตามยังต้องผนึกกำลังกันให้เข้มแข็งมากขึ้น เพราะต่อไปในอนาคตจะมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคหลายประการ เพื่อให้การประกอบธุรกิจและเศรษฐกิจดำเนินไปได้

“ผมขอย้ำว่าการดำเนินงานเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพและการยับยั้งควบคุมโรคจำเป็นต้องทำควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ การพัฒนาระบบสาธารณสุขนั้น ไม่ใช่ความสูญเสียหรือความสิ้นเปลือง แต่เป็นการลงทุนที่สำคัญในระยะยาวเพื่อพัฒนาความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศและสงครามโรคครั้งนี้ยังไม่ยุติ การปรับตัวใช้ชีวิตแบบ New Normal จึงเป็นสิ่งจำเป็น การเว้นระยะห่างทางสังคม(social distancing) ลดการอยู่ในที่ที่มีคนจำนวนมากเป็นเวลา นาน จะเป็นวัคซีนทางสังคมที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันการระบาดระลอกใหม่ได้” นายอนุทิน กล่าว และว่า เช่นเดียวกับเวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งนี้ ที่มีการปรับรูปแบบเป็นการประชุมออนไลน์แบบผสมผสาน เพื่อลดการรวมคนจำนวนมาก ลดการเดินทางของผู้เข้าร่วมงานและคำนึงถึงมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม โดยมุ่งหวังให้เกิดกระบวน การพัฒนาและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพในสังคมไทยที่ได้รับการยอมรับร่วมกันของทุกภาคส่วน.-สำนักข่าวไทย