กรุงเทพฯ 25 พ.ย. – ขุนคลังเพิ่มความโปร่งใส สั่งกรมศุลฯ นำเทคโนโลยีดิจิทัลพิจารณาพิกัดอัตราภาษี พร้อมตั้งเป้า NSW ในประเทศจะต้องเสร็จสมบูรณ์ปี 64
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกรมศุลกากรว่า สืบเนื่องจากมีการเปิดเสรีการค้ามากขึ้น ประกอบกับอัตราภาษีศุลกากรปรับลดลงรายได้จัดเก็บภาษีก็ลดลงตาม จึงสั่งการให้ปรับบทบาทมาเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการส่งอออก-นำเข้าสินค้า มากขึ้น พร้อมยกระดับบริการด้วยการเพิ่มความโปร่งใส่ โดยขอให้นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าใช้ในกระบวนการพิจารณาพิกัดอัตราภาษีศุลกากรมากที่สุด เพื่อลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการทั้งหมด เนื่องจากมีข้อถกเถียงและยังคงมีเสียงเรียกร้องจากผู้ประกอบการ ขณะเดียวกันยังช่วยลดขั้นตอนและกระบวนการทำงานต่าง ๆ ลงด้วย
ส่วนเรื่องระบบ National Single Window (NSW) ซึ่งเป็นระบบการบริการเชื่อมโยงข้อมูลหน่วยงานภาค รัฐและภาคธุรกิจรวมทั้งกรมศุลกากรด้วย NSW มีการดำเนินการมานานแล้ว จึงให้สานต่อทั้งระบบ NSW ในประเทศและ NSW ที่เชื่อมต่อกับต่างประเทศ โดยในส่วนของระบบ NSW ที่เชื่อมโยงชาติอาเซียนล่าสุดพบว่าสามารถเชื่อมแบบฟอร์มในการนำเข้าส่งออกสินค้าได้แล้ว แต่ยังคงติดขัดบ้างในเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน ส่วนระบบ NSW ในประเทศเชื่อมโยงข้อมูลได้หมด ระบบเสร็จแล้ว แต่ยังคงต้องมีการปรับปรุงรายการสินค้าอยู่ตลอดเวลา หรือการเปลี่ยนแปลงแบบฟอร์ม ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ ก็จะต้องให้ความร่วมมือกันในการดำเนินการ โดยมีหน่วยงานเกี่ยวข้องรวม 37 หน่วยงาน หากกรมศุลกากรพบว่าติดขัดหรือข้อมูลจากส่วนไหนไม่สมบรูณ์ก็จะนำเสนอขอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการ เพื่อให้ดำเนินการระบบ NSW ในประเทศสมบูรณ์ในปี 2564 เพราะ NSW เป็นเรื่องที่สำคัญมากของการทำธุรกิจและขณะนี้ยังเป็นข้อเรียกร้องเข้ามาด้วย
สุดท้าย คือ บทบาทในการป้องกันและปราบปราม ซึ่งเป็นหน้าที่หลัก โดยเฉพาะเรื่อง CIQ คือ ศุลกากร, ตรวจคนเข้าเมือง และการกักกัน จะต้องทำงานประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย ไม่จะเป็นตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และประสานงานกับกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งในช่วงโควิด-19 หลายประเทศมีการทำความสะอาดพัสดุต่าง ๆ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโควิด-19 ซึ่งสินค้านำเข้าจากประเทศต้นทางจะต้องมีการดูแลเรื่องนี้มาแล้วด้วยก่อนนำเข้า ซึ่งด่านศุลกากรทั่วประเทศกว่า 100 ด่านจะต้องช่วยกันระมัดระวัง
นายอาคม ยังสั่งการให้กรมศุลากรทำเรื่องเสนอขอยกระดับด่านศุลกากรมาบตาพุดขึ้นเป็นสำนักงานศุลกากรมาบตาพุด จากเดิมที่มีสำนักงานศุลกากรแหลมฉบังคอยอำนวยความสะดวก พร้อมสั่งการให้ใช้แนวคิดเขตปลอดอากร (FREEZONE) และคลังสินค้าทัณฑ์บน (BONDED WAREHOUSE ) เพื่อสนับสนุนงานด้านศุลกากรในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี ที่จะมีการพัฒนาท่าอากาศยานแห่งใหม่ และมีท่าเรือเฟสที่ 3 ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางขนส่งและเปลี่ยนถ่ายสินค้าระหว่างประเทศ เพราะจะมีสินค้าเข้ามารอพักหรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบก่อนส่งออกในช่วงต่อไปจำนวนมาก.-สำนักข่าวไทย