เชียงใหม่ 30 ก.ย.- ทันตแพทย์หนุ่มเปิดใจหลังพาภรรยาปวดท้องเข้ารับการรักษาโรงพยาบาลเอกชนที่เชียงใหม่แต่เสียชีวิต เตรียมร้องแพทยสภาหลังไม่ได้รับการชี้แจง
ทันตแพทย์หนุ่มร้องสื่อมวลชน หลังพาภรรยาที่มีอาการปวดท้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในเชียงใหม่ โดยส่งตัวเข้ารับการเอกซเรย์และฉีดสารทึบรังสี แล้วเกิดอาการแพ้เป็นเหตุให้เสียชีวิตพร้อมลูกในครรภ์ แต่ไม่มีการชี้แจงหรือขอโทษจากโรงพยาบาล เตรียมร้องแพทยสภาหลังมีข้อสงสัยหลายอย่างในการรักษา
โดยทันตแพทย์ธีระวุฑฒ์ หวงสุวรรณากร เจ้าของคลินิกทำฟันในเชียงใหม่ วัย 35 ปี พร้อมพ่อแม่ ออกมาเปิดใจกับสื่อมวลชนเพื่อร้องขอความเป็นธรรม หลังพาเภสัชกรหญิงปวีร์ธิดา หวงสุวรรณากร หรือกุ๊บกิ๊บ ซึ่งเป็นภรรยา วัย 36 ปี ที่มีอาการปวดท้องน้อย คลื่นไส้อาเจียนมาหลายวัน เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา โดยแพทย์ได้วินิจฉัยอาการพร้อมส่งตัวเข้ารับการเอกซเรย์บริเวณช่องท้องส่วนล่างและฉีดสารทึบรังสี โดยแพทย์ได้แจ้งว่าภรรยาตั้งท้องได้ 6 สัปดาห์แล้ว และผู้ป่วยมีอาการแพ้รุนแรงจนหมดสติ ทีมแพทย์พยายามปั๊มหัวใจแต่สุดท้าย ภารรยาเสียชีวิต
สำหรับสาเหตุการเสียชีวิต ในเอกสารจากทางโรงพยาบาลระบุเกิดจากอาการน้ำท่วมปอด โดยทางครอบครัว พยายามขอคำชี้แจงจากโรงพยาบาลถึงสาเหตุการเสียชีวิต ขณะที่คนในครอบครัวซึ่งเป็นแพทย์หลายคนติดใจสงสัยขั้นตอนการวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการช่วยชีวิตผู้ป่วยว่าทำตามขั้นตอนหรือไม่ และได้ขอคำชี้แจงมาแล้วถึง 4 ครั้ง จนต้องเลื่อนการฌาปนกิจที่บ้านเกิดของกุ๊บกิ๊บที่จังหวัดพะเยา จากวันที่ 13 กันยายน มาเป็นวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา เพื่อรอคำตอบจากโรงพยาบาล แต่ไม่มีการชี้แจงรายละเอียด และไม่มีแม้แต่คำขอโทษจากโรงพยาบาล ซึ่งส่งพวงหรีดมาให้แค่ 2 พวง
ทันตแพทย์ธีระวุฑฒ์ และครอบครัวตัดสินใจแจ้งความดำเนินคดีและเตรียมที่จะร้องแพทยสภาในสัปดาห์หน้า เพื่อให้ตรวจสอบการวินิจฉัยและขั้นตอนการรักษา
ขณะที่คุณพ่อและคุณแม่ของทันตแพทย์ธีระวุฑฒ์ ยืนยันว่า ทางครอบครัวอยากได้คำชี้แจงและการแสดงความรับผิดชอบจากโรงพยาบาล เพราะที่ผ่านมากุ๊บกิ๊บเป็นเด็กกตัญญู เป็นเสาหลักที่ดูแลครอบครัว เป็นความสูญเสียของครอบครัว เพราะทั้งคู่แต่งงานกันมาได้ 2 ปี และพึ่งกลับจากไปเที่ยวภูเก็ต แต่กลับมาได้เพียง 3 วัน กุ๊บกิ๊บซึ่งไม่ทราบว่าตั้งท้อง ก็เข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิต เป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ทางโรงพยาบาลน่าจะชี้แจงรายละเอียดและแสดงความรับผิดชอบมากกว่านี้.-สำนักข่าวไทย