เลบานอน 6 ส.ค.- เจ้าหน้าที่สอบสวนของเลบานอนชี้สาเหตุโกดังสารเคมีระเบิดอาจเกิดจากความสะเพร่าในการเก็บรักษา ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 135 คนแล้ว
เจ้าหน้าที่สอบสวนของเลบานอนมุ่งประเด็นไปที่เหตุใดจึงมีการเก็บสารแอมโมเนียมไนเตรท ซึ่งเป็นสารเคมีอันตรายจำนวน 2,750 ตันเอาไว้ที่โกดังท่าเรือในกรุงเบรุตเป็นเวลานานถึง 6 ปีโดยที่ไม่มีการทำอะไรเลยจนกระทั่งเกิดการระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อช่วงเย็นวันอังคารที่ผ่านมา โดยมีรายงานว่าเกิดประกายไฟขึ้นที่โกดังหลังหนึ่งซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุของต้นเพลิงดังกล่าวก่อนที่ไฟจะลุกลามไปยังโกดังเก็บสารแอมโมเนียมไนเตรทจนเกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง
เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชนจำนวนมาก เนื่องจากการทำงานของเจ้าหน้าที่เต็มไปด้วยการทุจริตและคอร์รัปชันทั้งยังขาดการจัดการที่ดีจนนำไปสู่หายนะภัยครั้งร้ายแรง ซึ่งล่าสุดมีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 135 คน และบาดเจ็บอีกกว่า 5,000 คน ขณะที่รัฐบาลมีคำสั่งให้กักบริเวณบ้านพักเจ้าหน้าที่ท่าเรือหลายคนเอาไว้เพื่อสอบสวนและประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลา 2 สัปดาห์
ด้านนายมาร์วาน อับบุด ผู้ว่าการราชการกรุงเบรุตบอกว่าเหตุระเบิดครั้งนี้สร้างความเสียหายเป็นมูลค่าระหว่าง 300,000 – 450,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังทำให้ประชาชนเกือบ 300,000 คนต้องไร้ที่อยู่ ขณะที่โรงพยาบาลในกรุงเบรุตมีผู้ป่วยล้นโรงพยาบาลจนไม่สามารถรับมือได้ไหว และมีโรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งได้รับความเสียหายจากแรงระเบิดในครั้งนี้ด้วย นอกจากนี้ ยังมีพยาบาลเสียชีวิตไปถึง 4 คน คาดว่ายอดผู้เสียชีวิตน่าจะเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากยังมีผู้สูญหายอีกหลายสิบคน เวลานี้ทีมผู้ภัยกำลังเร่งค้นหาตามกองซากปรักหักพังของอาคารจำนวนมาก
อีกด้านหนึ่งทางการฝรั่งเศสเริ่มดำเนินการสอบสวนเหตุการณ์ระเบิดในกรุงเบรุตเช่นกัน หลังมีชาวฝรั่งเศส 21 คน ได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิดดังกล่าว ขณะเดียวกัน หลายประเทศเริ่มทยอยจัดส่งความช่วยเหลือไปให้เลบานอนแล้ว โดยฝรั่งเศสได้ส่งทีมกู้ภัยและความช่วยเหลือทางการแพทย์ไปให้และในวันนี้ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง จะเดินทางไปยังกรุงเบรุตเพื่อพบปะกับผู้นำของเลบานอนด้วย ส่วนเยอรมนีได้ส่งทีมกู้ภัยและค้นหาเข้าไปช่วยเหลือเช่นกัน เช่นเดียวกับตุรกีที่จัดส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปให้แล้ว ส่วนรัสเซียได้ส่งทีมแพทย์และโรงพยาบาลสนามเข้าไปช่วยรักษาผู้บาดเจ็บด้วยเช่นกัน และยังมีอีกหลายประเทศที่เสนอให้ความช่วยเหลือ.-สำนักข่าวไทย