กรุงเทพฯ 5 ก.ค. – คปภ.เตือนอย่าหลงเชื่อชวนยกเลิกกรมธรรม์ หวังเพิ่มทุนประกัน เร่งส่งทีมตรวจสอบ หากพบหลอกลวงฉ้อฉลประกันภัยโทษถึงจำคุก
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีผู้ไม่ประสงค์ดีโทรศัพท์ติดต่อไปยังผู้เอาประกันภัยและชักชวนให้ยกเลิกกรมธรรม์ประกันชีวิต เพื่อนำเงินไปทำกรมธรรม์ประกันชีวิตฉบับใหม่ โดยมีข้อเสนอว่าจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น อาทิ การเพิ่มทุนประกัน หรือการเพิ่มเงินชดเชยค่าห้อง โดยจ่ายเบี้ยประกันภัยเท่าเดิม การนำเบี้ยประกันภัยส่วนเกินที่ไม่สามารถลดหย่อนภาษีได้นำไปเพิ่มทุนประกันภัยและซื้อค่ารักษาเพิ่มขึ้นได้ เป็นต้น โดยกล่าวอ้างว่าเป็นการปฏิบัติงานภายใต้การกำกับดูแลของ คปภ.
นายสุทธิพล กล่าวว่า ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นการชักชวนที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้เอาประกันภัย โดยผู้ชักชวนจะมุ่งเน้นไปยังผู้ถือกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีมูลค่าในกรมธรรม์ให้ยกเลิกและขอเวนคืนกรมธรรม์ประกันชีวิตก่อนครบกำหนดสัญญา ทำให้ผู้เอาประกันภัยได้รับเงินคืนตามมูลค่าเวนคืนกรมธรรม์ประกันชีวิตเป็นจำนวนเงินที่น้อยกว่าเบี้ยประกันภัยที่ชำระไปแล้ว หรือหากซื้อประกันชีวิตฉบับใหม่อาจต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยสูงขึ้น เพราะมีความเสี่ยงเรื่องสุขภาพที่เพิ่มขึ้นตามอายุของผู้เอาประกันภัย ดังนั้น การชักชวนทางโทรศัพท์เพื่อให้ยกเลิกกรมธรรม์ประกันชีวิตก่อนครบกำหนดสัญญาจะทำให้ผู้เอาประกันภัยเสียประโยชน์ และส่งผลกระทบต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมประกันภัย จึงขอให้ผู้เอาประกันภัยและประชาชนทั่วไปอย่าได้หลงเชื่อคำชักชวนดังกล่าว
ทั้งนี้ การหลอกลวงดังกล่าวได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่ 3 หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่ 3 ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงการกระทำด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชนย่อมเข้าลักษณะเป็นการฉ้อฉลการประกันภัยจะมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 114/3 แห่งพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.2535 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2562
“คปภ.ได้สั่งการให้สายตรวจสอบคนกลางประกันภัยบูรณาการร่วมกับสายกฎหมายและคดีตรวจสอบข้อเท็จจริงไปยังบริษัทนายหน้าประกันภัยตามที่ปรากฏชื่อแล้ว หากพบว่ามีการกระทำผิดจริงจะดำเนินการตามกฎหมายโดยเคร่งครัดต่อไป” นายสุทธิพล กล่าว .-สำนักข่าวไทย