สำนักข่าวไทย 3 มิ.ย.- อธิบดี พช.และประธานสภาสตรีแห่งชาติฯ ร่วมกุศลใหญ่ปลูกต้นไม้มงคลเพิ่มความร่มรื่นภายในวัดระฆังฯ เพื่อเป็นพุทธบูชา ถวายพระราชกุศล สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา
วันนี้ (3 มิ.ย.) พระเดชพระคุณ พระธรรมธีรราชมหามุนี เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร มอบหมายให้ พระบวรรังษี เจ้าคณะแขวงศิริราช ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังฯ และพระครูสมุห์วัชระ ภทฺทธมฺโม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังฯ ได้ร่วมในพิธีถวายราชสักการะสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี และ ปลูกต้นไม้มงคล 32 ต้น ณ บริเวณหน้าพระอุโบสถวัดระฆังฯ ลานที่ประดิษฐานของระฆังขนาดใหญ่เป็นสัญญลักษณ์สำคัญของวัด
ทั้งนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน(พช.) กระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และประธานชมรมแม่บ้านกรมการพัฒนาชุมชน พร้อมด้วยผู้บริหารจากกรมการพัฒนาชุมชนร่วมปลูกต้นไม้มงคล จำนวน 32 ต้น ได้แก่ ต้นชุมแสง 2 ต้น ต้นพิกุล 4 ต้น ต้นราชพฤกษ์ 6 ต้น ต้นอินทนิล ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ออกดอกเป็นสีม่วง ตามวันพระราชสมภพ ร่วมกับต้นไม้อื่นอีกจำนวน 20 ต้น รวมเป็นทั้งหมด 32 ต้นเพื่อความเป็นศิริมงคล
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เปิดเผยว่า วันนี้เป็นวันมหามงคลยิ่งของชาวไทยทั้งประเทศเป็นวันพระราชสมภพ สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2563 กรมการพัฒนาชุมชนและสภาสตรีแห่งชาติฯ ได้รับเมตตาจากท่านเจ้าอาวาสวัด และคณะสงฆ์วัดระฆังฯ ให้มากระทำพิธีถวายราชสักการะและปลูกต้นไม้มงคล 32 ต้น
อย่างไรก็ตาม การปลูกต้นไม้มงคลในวันนี้เพื่อเป็นการทำนุบำรุงวัดอันเป็นศาสนสถานที่สำคัญคู่บ้านเมืองให้ร่มรื่น เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม ช่วยลดภาวะโลกร้อน เป็นปฎิบัติบูชา ถือเป็นกิจกรรมหนึ่งซึ่งกรมการพัฒนาชุมชนและสภาสตรีแห่งชาติฯตั้งใจทำเพื่อน้อมเกล้าฯถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ และเพื่อให้การปลูกต้นไม้มงคลจำนวน 32 ต้นในครั้งนี้ช่วยสร้างความร่มเย็นให้กับพื้นที่วัด รวมทั้งประชาชนที่มาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และปฏิบัติธรรมในบริเวณวัดได้อย่างยาวนาน กรมการพัฒนาชุมชนกับสภาสตรีแห่งชาติฯ จะรับเป็นธุระในการทำนุบำรุงต้นไม้ทั้ง 32 ต้น ให้งอกงามอยู่คู่วัดตลอดไป
ดร. วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติ กล่าวว่า รู้สึกปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่งที่ท่านเจ้าอาวาสและคณะสงฆ์ได้เมตตาอนุญาตให้มาดำเนินการกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติในวันสำคัญของชาติในวัดศักดิ์สิทธิที่มีอานุภาพแห่งบุญบารมีของสมเด็จพระพุฒาจารย์ พรหมรังสี ปกป้องคุ้มครองพุทธศาสนิกชน วัดระฆังฯ ประชาชนนิยมไปกราบไหว้สักการะรูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี แล้ว ยังนิยมชมหอพระไตรปิฏกสมัยรัชกาลที่ 1ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงาม มีประวัติสำคัญเคยเป็นพระตำหนักและหอประทับนั่งของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
สำหรับวัดระฆังฯ เป็นวัดโบราณสร้างในสมัยอยุธยา เดิมชื่อวัดบางหว้าใหญ่ ในสมัยธนบุรีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงสร้างพระราชวังใกล้วัดบางหว้าใหญ่ โปรดเกล้าฯให้ยกเป็นอารามหลวงและเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช ในสมัยรัตนโกสินทร์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช วัดอยู่ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากรมพระเทพสุดาวดี พระเชษฐภคินีของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเป็นพระชนนีของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ทรงมีพระตำหนักที่ประทับติดกับวัด และทรงดูแลปฏิสังขรณ์ร่วมกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ต่อมาได้ขุดเจอระฆังลูกหนึ่ง ทรงโปรดเกล้าฯให้นำไปรักษาไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และทรงสร้างระฆังชดเชยให้วัดใหม่อีก 5 ลูก จากนั้นได้พระราชทานนามใหม่ว่าวัด ระฆังโฆษิตารามวรมหาวิหาร มีพระประธานเป็นพระพุทธรูปที่สวยงาม ศักดิ์สิทธ์ที่ประชาชนทั่วไปเรียกขานว่า พระประธานยิ้มรับฟ้า เป็นพระพุทธรูปเนื้อทองสำริด ปางสมาธิ หน้าตักกว้างประมาณ4 ศอกเศษ เบื้องพระพักตร์มีรูปพระสาวก 3 องค์ นั่งประนมมือดุจรับพระพุทธโอวาท พระประธานองค์นี้ได้รับการยกย่องว่างดงามมาก
จนปรากฏว่าครั้งหนึ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯมาถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดระฆังฯได้มีพระราชดำรัสแก่ผู้เข้าเฝ้าฯ ใกล้ชิดว่า ไปวัดไหนไม่เหมือนมาวัดระฆังพอเข้าประตูโบสถ์พระประธานยิ้มรับฟ้าทุกที ด้วยเหตุนี้จึงทรงถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์นพรัตนราชวราภรณ์ และมหาปรมาภรณ์ ช้างเผือกแด่พระประธานองค์นี้เป็นพิเศษ และพระประธานองค์นี้ก็ได้นามว่า พระประธานยิ้มรับฟ้า ตั้งแต่นั้นมา.-สำนักข่าวไทย