สำนักข่าวไทย 1 มิ.ย.-“พล.อ.ประวิตร” ห่วงความปลอดภัยในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ชง ครม.ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 3 จังหวัด อีก 3 เดือน เพื่อดูแลประชาชน
เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (1 มิ.ย.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ครั้งที่ 2/2563 ณ ห้องประชุมวิจิตรวาทการ ชั้น 3 สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ทำเนียบรัฐบาล โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาขยายระยะเวลา การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่ทุกอำเภอในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยกเว้นอำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี อำเภอเบตง จังหวัดยะลา และอำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอสุคิริน อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส ออกไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2563 และสิ้นสุดในวันที่ 19 กันยายน 2563 ซึ่งจะต้องผ่านความเห็นชอบ ของ ค.ร.ม.ต่อไป
ทั้งนี้ จากผลการประเมินยังพบว่าประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่ยังขอให้คงประกาศสถานการณ์ไว้ เพื่อให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่มีความต่อเนื่องในการรักษาความสงบเรียบร้อย และการพัฒนาพื้นที่ให้มีความเจริญทางด้านเศรษฐกิจ/สังคม รวมทั้งเพื่อเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เพื่อป้องกันและระงับยับยั้งเหตุการณ์ได้อย่างทันท่วงที โดยเฉพาะเป็นการเพิ่มมาตรการในการเฝ้าระวังและป้องกันการก่อเหตุในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี รวมทั้งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่อีกด้วย การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้อำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการกระทำของผู้ก่อเหตุความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจะมีความแตกต่างจากการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เป็น การป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโรค อย่างไรก็ตามกอ.รมน.ภาค 4 ยังคงเป็นหน่วยงานหลักในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้นในพื้นที่ทั้งสองประเภท โดยดำเนินการร่วมกับส่วนราชการอื่นๆที่เกี่ยวข้องในพื้นที่
พล.อ.ประวิตร ยังได้ขอบคุณประชาชนในพื้นที่ ที่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐในการเฝ้าระวังเหตุการณ์ และปฏิบัติตามข้อกำหนดในการป้องกันโควิด-19 ของรัฐบาลด้วยดี พร้อมขอให้ประชาชนในพื้นที่มั่นใจในมาตรการของรัฐบาลในการแก้ปัญหา จชต. ควบคู่กับการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ และสังคม ให้ยั่งยืนต่อไป.-สำนักข่าวไทย