สธ. 27 เม.ย.-กรมควบคุมโรค เผยผ่อนปรนมาตรการโควิด-19 ใช้เกณฑ์ความเสี่ยงของธุรกิจเป็นหลัก เสี่ยงต่ำเปิดก่อน คาดเปิดพร้อมทุกจังหวัดเพื่อให้ประชาชนใช้ชีวิตปกติ เพราะหากห้าม-เปิดบางจังหวัด เชื่อเกิดการเดินทางข้ามจังหวัด ไปใช้บริการ เพิ่มความเสี่ยงในจังหวัดนั้น ย้ำการ สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ และ ระยะห่างบุคคล 1-2 เมตร
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 วันนี้ต่ำมากที่สุดในรอบ 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบผู้ป่วยรายใหม่แค่ 9 คนและอัตราการรักษาหายก็เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 90 อยู่ที่ 2,609 คน เหลือรักษาตัวในโรงพยาบาล 300 คน หากวิเคราะห์ในจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ 9 คน พบว่าใน 2 คนมีการติดเชื้อจากผู้ป่วยเดิม ซึ่งคนหนึ่งติดเชื้อจากสามี อีกคนติดเชื้อจากภรรยา และจากข้อมูลพบว่าอัตราการติดเชื้อ ในครอบครัวมีสูง โดยพบว่าเป็นการติดเชื้อในสามีและภรรยาสูงถึง ร้อยละ40 รองลงมาเป็นการติดเชื้อใน พ่อ และแม่ ร้อยละ 15-16
นพ.โสภณ กล่าวว่า สถานการณ์ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาพบว่าครึ่งหนึ่งเป็นการติดเชื้อจากต่างประเทศ หลังมีการยกเลิกการเดินทาง ทำให้อัตราการติดเชื้อในส่วนนี้ลดลงน้อย ประกอบกับมีสถานที่กักตัวที่รัฐบาลจัดหาให้ ส่วนการพิจารณาผ่อนปรนมาตรการนั้น คาดว่าจะนำเรื่องของความเสี่ยงในการประกอบกิจการมาเป็นเกณฑ์การพิจารณาหลัก มากกว่าการพิจารณาจากตัวเลขผู้ป่วยตามรายจังหวัด หรือพื้นที่ปลอดภัยโรค เพื่อให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพและดำเนินชีวิตอยู่ได้ โดยทางสภาพัฒน์จะเป็นผู้พิจารณา และเสนอเรื่องนี้ ธุรกิจเสี่ยงต่ำจะได้รับการผ่อนปรนก่อน ส่วนเกณฑ์ความเสี่ยงในแต่ละจังหวัดนั้น เป็นการใช้ในเชิงระบาดวิทยาต่อมาประกอบควบคู่กัน เช่นพื้นที่นี่ไม่พบการระบาด 14 วัน 28 วัน เป็นต้น
นพ.โสภณ ยังกล่าวว่า คาดว่าการเปิดหรือผ่อนปรนมาตรการต่างๆ จะทำพร้อมกันในทุกจังหวัด เพราะมิเช่นนั้น จะเกิดปรากฎการณ์คนแห่เดินทางเพื่อไปใช้บริการข้ามจังหวัดและเกิดความหนาแน่น และกลายเป็นการเพิ่ม ความเสี่ยงในจังหวัดนั้นๆ การเปิดนี้ ต้องพิจารณาตามความเสี่ยงของบริการ และค่อยๆเปิด เช่น ร้านทำผม ห้างสรรพสินค้า เสี่ยงต่ำ ทำได้แต่ต้องจำกัดเวลาการใช้บริการ และสถานประกอบการต้องมีมาตรการวัดไข้ ก่อนใช้บริการ ส่วนเรื่องการคงมาตรการทำงานที่บ้านหรือเวิร์คฟอร์มโฮม ให้มากที่สุดร้อยละ50 ยังคงมีความจำเป็นอยู่เพราะจะช่วยลดความแออัดในที่ทำงาน อย่างน้อยที่สุด ต้องมีการเหลื่อมเวลาการทำงาน เพื่อให้คนไม่แออัด หรือ ทำงานวันเว้นวัน เดินทางออกจากนอกบ้านให้น้อยที่สุด
นพ.โสภณ กล่าวด้วยว่า สิ่งสำคัญที่ต้องคงมาตรการบางอย่างไว้อย่างเคร่งครัด คือวินัย การสวมหน้ากากอนามัย และการหมั่นล้างมือ และมีระยะห่างระหว่างบุคคล 1-2เมตร และต้องมีการตรวจค้นหาในกลุ่มเสี่ยงเพื่อตรวจจับโรคให้รวดเร็ว เพื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจรักษา ส่วนโอกาสการกลับมาพบผู้ป่วยจำนวนมาก หลังผ่อนปรนมาตรการ สามารถเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว เพราะโรคดังกล่าวเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ การสัมผัสใกล้ชิดของผู้คน ทำให้เสี่ยงติดโรคได้ ดังนั้น มาตรการ สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ และระยะห่างระหว่างบุคคล ยังจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่อง .-สำนักข่าวไทย