ซิดนีย์ 19 ส.ค.- ผลการศึกษาในออสเตรเลียเตือนว่า การที่จีนเร่งพัฒนาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและมีอำนาจแข็งแกร่งขึ้นอาจทำให้กองกำลังจีนบดบังกองกำลังสหรัฐในเอเชีย หากสหรัฐและญี่ปุ่นไม่เร่งยกเครื่องการปรับปรุงด้านกองทัพและแผนประจำการกำลังทหาร
รายงานหนา 104 หน้าของศูนย์สหรัฐศึกษา มหาวิทยาลัยซิดนีย์ประเมินยุทธศาสตร์ การใช้จ่าย และพันธมิตรของสหรัฐในเอเชียชี้ว่า ทุกประเทศในเอเชีย รวมทั้งประเทศที่ต้องการรักษาความสัมพันธ์อันดีทั้งกับจีนและสหรัฐ ต้องให้ความสำคัญต่อเรื่องสมดุลอำนาจในภูมิภาคนี้ที่กำลังเปลี่ยนแปลง และจะต้องหาทางยับยั้งไม่ให้จีนใช้นโยบายต่างประเทศเชิงก้าวร้าว เพราะอำนาจที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้จีนเริ่มจัดการกับเกาะพิพาทต่าง ๆ ที่อยู่ภายในเส้นโค้งที่เริ่มจากหมู่เกาะของญี่ปุนไปจนถึงเกาะบอร์เนียวของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รายงานประเมินว่า จีนมีขีปนาวุธพิสัยใกล้ 1,500 ลูก ขีปนาวุธพิสัยกลาง 450 ลูก ขีปนาวุธข้ามทวีป 160 ลูก และขีปนาวุธนำวิถียิงจากพื้นอีกหลายร้อยลูก ขีปนาวุธเหล่านี้สามารถโจมตีเป้าหมายอย่างแม่นยำไปไกลถึงสิงคโปร์ ซึ่งมีระบบส่งกำลังบำรุงของสหรัฐตั้งอยู่ รวมไปถึงฐานทัพสหรัฐในเกาหลีเหนือและญี่ปุ่น นอกจากนี้จีนยังมีขีปนาวุธต่อต้านเรือบรรุกเครื่องบินอย่าง DF-21D ที่สามารถโจมตีเรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐในพิสัยไกลถึง 1,500 กิโลเมตร ดังนั้นในกรณีที่เกิดความขัดแย้งกับจีน ฐานทัพและฐานส่งกำลังบำรุงของสหรัฐและพันธมิตรทางตะวันตกของแปซิฟิกจะไร้ประโยชน์ภายในไม่กี่ชั่วโมงที่ถูกจีนโจมตี สหรัฐอาจต้องเลือกระหว่างทำสงครามที่เสียหายและร้ายแรงครั้งมหาศาล หรืออยู่เฉยปล่อยให้จีนแผ่ขยายอำนาจต่อไป แต่เนื่องจากความมั่นคงของพันธมิตรในภูมิภาคนี้มีความสำคัญต่อความอยู่รอดของสหรัฐรองจากความมั่นคงของสหรัฐเอง และเทียบไม่ได้กับผลประโยชน์ของจีนในจุดพิพาทเหล่านี้ ในที่สุดแล้วสหรัฐอาจเห็นว่าการแทรกแซงเป็นสิ่งที่ได้ไม่คุ้มเสีย
รายงานชี้ด้วยว่า ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้กองกำลังสหรัฐในเอเชียแข็งแกร่งน้อยลงเกิดจากการที่สหรัฐไปทุ่มทรัพยากรทั้งทางน้ำและทางอากาศให้แก่สงครามในตะวันออกกลาง พร้อมกับแนะนำว่าพันธมิตรสหรัฐอย่างญี่ปุ่นและออสเตรเลียจะต้องเพิ่มการมีส่วนร่วมปกป้องเสถียรภาพในเอเชีย เช่น ศึกษาแผนการต่อเรือดำน้ำ เพิ่มศักยภาพการโจมตีจากภาคพื้นดิน.-สำนักข่าวไทย