กรุงเทพฯ 17 เม.ย. – “ปิยบุตร” ย้ำตุลาการใช้อำนาจประชาชน ย่อมถูกวิจารณ์ ชี้คดีจะเป็นบรรทัดฐานวิจารณ์การใช้อำนาจรัฐ ด้านทนายแฉ ศาลรัฐธรรมนูญไม่ตอบพนักงานสอบสวน ถูกหมิ่นหรือไม่
เวลา 13.30 น. ภายหลังการสอบปากคำนานกว่า 2 ชั่วโมง นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหา ตามหมายเรียกของ ปอท. ออกมาเปิดเผยว่า พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหา ในความผิดฐานดูหมิ่นศาล ตามกฎหมายอาญามาตรา 198 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ รวม 2 ข้อหา ซึ่งให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ส่วนที่สงสัยว่าใครมอบอำนาจให้ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ มาแจ้งความนั้น จากการตรวจคำให้การ พบว่า ฝ่ายกฎหมายของ คสช.เป็นผู้มอบอำนาจ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า หัวหน้าคสช.เป็นแคนดิเดต นายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองหนึ่ง ถือเป็นคู่แข่งพรรคอนาคตใหม่โดยตรง แต่กลับมอบอำนาจให้มากล่าวหาตน ในเรื่องการดูหมิ่นศาลรัฐธรรมนูญ
นายปิยบุตร ระบุอีกว่า อำนาจอธิปไตยเป็นชองประชาชน มีเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ ศาลถือเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชน การตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน จึงถือเป็นเรื่องปกติ ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้เสมอ องค์กรตุลาการย่อมต้องอยู่ระนาบเดียวกัน โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ ที่ตัดสินข้อพิพาททางการเมือง ยิ่งต้องถูกตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์ได้ ซึ่งตนทำมาตลอดตอนเป็นอาจารย์คณะนิติศาสตร์ ส่วนเรื่องดูหมิ่นศาลเมื่อเทียบเคียงแล้ว อาจคล้ายกับการหมิ่นบุคคลอื่น ซึ่งตามปกติแล้ว คนที่ถูกดูหมิ่น จนทำให้เสื่อมเสียเกียรติยศชื่อเสียง จะเป็นผู้ริเริ่มกล่าวโทษฟ้องคดี แต่การดูหมิ่นศาลถูกบัญญัติไว้เป็นอาญาแผ่นดิน ใครจึงไปกล่าวโทษก็ได้ คดีนี้จึงมีความสำคัญมาก ในแง่ที่จะเป็นบรรทัดฐาน หากสุดท้ายตนมีความผิดจริง จะทำให้บรรทัดฐานการวิจารณ์การใช้อำนาจรัฐ ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน และอาจเป็นจุดอ่อนของกฎหมายไทย
ส่วนจะเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองหรือไม่ นายปิยบุตร กล่าวว่า มั่นใจในกระบวนการยุติธรรม และความเป็นกลางของพนักงานสอบสวน แต่เพราะ คสช.เป็นผู้กล่าวโทษ สาธารณชนสามารถใช้วิจารณญาณในเรื่องนี้ดูได้ว่าทำไมพรรคอนาคตใหม่ ที่เพิ่งก่อตั้ง จึงต้องเจอเรื่องนี้ตลอดเวลา โดยในวันที่ 25 เม.ย. จะทำคำให้การมามอบต่อพนักงานสวน เพราะถูกเร่งรัดจากเจ้าหน้าที่ ทั้งที่ความจริงมีสิทธิถึง 15-30 วัน และหลังจากนี้ จะนำข้อกล่าวหา ไปสแกนลงเว็บไซต์ของพรรคให้สังคมรับรู้ เพราะดูแล้วมีหลายข้อความที่ตนไม่ได้พูด
นายปิยบุตร ยังกล่าวถึงการฟ้องร้องดำเนินคดีกลับว่า การมาเป็นนักการเมืองสิ่งสำคัญที่สุด คือการอดทนอดกลั้นต่อการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง มิเช่นนั้น สังคมประชาธิปไตยจะไปต่อไม่ได้ ตนกับนายธนาธร อดทนถึงที่สุด หลายครั้งถูกใส่ร้ายป้ายสี จึงฝากไปถึงนักการเมืองที่มาจากการยึดอำนาจ รวมถึงองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐด้วยว่า ต้องอดทนอดกลั้น กับความเห็นต่าง เรานักการเมืองจากการเลือกตั้ง ยังทนได้ นักการเมืองที่มาจากการยึดอำนาจ ก็ต้องทนได้เช่นกัน
ด้าน นายกฤษฎา นุชจรัส ทนายความ กล่าวว่า คดีนี้ได้สอบถามพนักงานสอบสวนว่า ได้มีการถามความเห็นไปยังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่า นายปิยบุตรหมิ่นจริงหรือไม่ ได้รับคำตอบว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่ตอบ บอกเพียงแต่ว่าจะหมิ่นหรือไม่ ให้อยู่ในดุลพินิจศาลยุติธรรม จึงเป็นข้อสงสัยว่า ตัวผู้เสียหายยังไม่บอกว่าโดนหมิ่นหรือเสียหายหรือไม่ – สำนักข่าวไทย