ภายหลังการทดสอบระบบ นายชัยฤกษ์ งามสม ผู้ตัดสินที่ทำหน้าที่ กล่าวว่า “วันนี้ถือว่าโอเคมากสำหรับการทดสอบระบบ VAR เครื่องมือการสื่อสารที่ใช้มีความชัดเจน เราสามารถย้อนกลับไปดูภาพช้าได้ทันที่ในกรณีที่มีข้อสงสัยหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสนาม ไม่ว่าจะเป็นจังหวะที่ล้ำหน้า หรือผู้เล่นมีการทำฟาวล์ก่อนที่จะได้ประตู มันจะทำให้เหตุการณ์ทุกอย่างเคลียร์แน่นอน ขอให้ทุกสโมสรมีความมั่นใจในการตัดสินในฤดูกาลหน้า”
“ระบบที่ใข้มีความพร้อมมากกว่าปีที่แล้ว อย่างจังหวะล้ำหน้าเราจะมีตารางทำให้เห็นชัดเจนว่ามีการล้ำหน้าจริงๆ ผมว่ามันเป็นมิติใหม่ของวงการฟุตบอล ทุกเหตุการณ์ใช่ก็คือใช่ ไม่ใช่คือไม่ใช่ ไม่มีขาวเป็นดำแน่นอนซึ่งจะทำให้ผู้ตัดสินได้รับการยอมรับขึ้น และมีมาตรฐานที่สูงขึ้นแน่นอนครับ ขอให้ทุกสโมสรมีความมั่นใจ”
สำหรับเทคโนโลยี VAR หรือ Video Assistant Referee ที่จะใช้ในการแข่งขันฟุตบอลโตโยต้าไทยลีก 2019 จะเป็นระบบเดียวกันที่ใช้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้าย ที่ประเทศรัสเซีย และฟุตบอลเอเชียน คัพ 2019 ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
โดยระบบ VAR ใช้เครื่องมือยี่ห้อ EVS และระบบสื่อสารผู้ตัดสิน ใช้ยี่ห้อ VOKKERO ส่วนระบบการทำงานจะส่งสัญญาณผ่านระบบ Network โดยภาพและเสียงจะถูกถ่ายจากกล้องภายในสนามไปยังห้องควบคุมส่วนกลาง ซึ่งจะทำให้ผู้ตัดสินในสนามไม่ถูกเจ้าที่ทีม หรือ นักเตะ เข้ามากดดัน ขณะดู VAR
1. เป็นประตู/ไม่เป็นประตู (ข้ามเส้นไม่ข้ามเส้น, มีการฟาวล์ก่อน, ล้ำหน้า, ลูกบอลออกสนามก่อนเข้าประตู)
2. จุดโทษ/ไม่จุดโทษ (ตำแหน่งของการฟาวล์, ฝ่ายรุกทำฟาวล์ก่อน, ลูกบอลออกนอกสนามก่อนการฟาวล์, การที่ผู้รักษาประตูหรือผู้ยิงประตู ทำผิดกติกาขณะเตะจุดโทษ)
3. ใบแดงโดยตรง (เจตนาป้องกันประตูผิดกติกาอย่างตั้งใจ, การทำผิดกติกาอย่างร้ายแรง เช่น ถ่มน้ำลาย, ดูหมื่น และ ใช้วาจาไม่สุภาพ)
4. ระบุตัวผู้เล่นผิดพลาด (เมื่อผู้ตัดสินคาดโทษหรือไล่ออกผู้เล่นผิดคน)
หมายเหตุ
เนื่องจากเป็นการทดสอบเจ้าหน้าที่สมาคมฯ จึงสามารถเข้าบันทึกภาพและร่วมสังเกตการณ์ระหว่างการทำหน้าที่ได้ ซึ่งในการใช้ VAR ในเกมการแข่งขันจริงนั้นจะมีเพียง ผู้ตัดสิน ผู้ช่วยผู้ตัดสิน และเจ้าหน้าที่ระบบ 3 คนเท่านั้น…สำนักข่าวไทย