นนทบุรี 17 ธ.ค.-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นสักขีพยานลงนามความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
บริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด และ เจดีกรุ๊ป
เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับเอสเอ็มอีไทยและส่งเสริมการขายสินค้าไทยในตลาดจีนผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า
ความร่วมมือระหว่าง กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กับบริษัท เซ็นทรัล เจดี
คอมเมิร์ซ จำกัด และ เจดีกรุ๊ป จะผลักดันการค้าไทยสู่ตลาดออนไลน์จีนอย่างเป็นรูปธรรมผ่านความร่วมมือในด้านต่าง
ๆ ได้แก่ การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกทางการค้าให้กับผู้ประกอบการ SMEs ไทย
ในการเพิ่มยอดขายสู่ช่องทางต่างๆ ของเจดีกรุ๊ป
การจัดการอบรมเฉพาะทางที่เกี่ยวกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามแดน
การจับคู่เจรจาธุรกิจให้กับผู้ขาย Thaitrade.com และผู้ซื้อจาก
JD.com ฯลฯ
ซึ่งจะสามารถสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยในการก้าวสู่ตลาดจีนได้เพิ่มขึ้น
โดยในปีนี้การซื้อขายสินค้าไทยผ่านThaitrade.com อยู่ที่กว่า 1,700 ล้านบาท และคาดว่าหลังลงนามครั้งนี้มูลค่าการซื้อขาย Thaitrade.com
จะเพิ่มขึ้นกว่า 1 เท่าตัวในปีหน้า
เนื่องจากรัฐบาลจีนที่ให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีสำหรับการค้าออนไลน์ และ
กระแสความนิยมของผู้บริโภคชาวจีนต่อสินค้าคุณภาพจากต่างประเทศ
ก็เป็นโอกาสที่สินค้าไทยคุณภาพสูงหลากหลายประเภทสามารถเจาะตลาดกลุ่มดังกล่าวได้
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์มองว่า
อัตราการสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ของจีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี
และเป็นช่องทางการเข้าตลาดจีนผ่านเจดีกรุ๊ปถือเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทยอย่างมาก
โดยเจดีกรุ๊ป เป็นผู้นำด้านการค้าอีคอมเมิรซ์ของประเทศ และเป็นผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ JD.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ในรูปแบบค้าปลีก
(B2C) ขนาดใหญ่ของจีน มีผู้ใช้งานกว่า 300 ล้านราย มีศักยภาพในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีทางการค้าที่ทันสมัย
และการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการขนส่งที่เป็นเลิศ โดยปี 2560 มีรายได้กว่า 55,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าที่ได้รับความนิยมได้แก่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์
เสื้อผ้าแฟชั่น ของตกแต่งบ้าน สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าสด ฯลฯ
โดยกลุ่มสินค้าขายดีล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออกทั้งสิ้น
ซึ่งการค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน (Cross-Border eCommerce :
CBEC) เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยในจีนจากรายงานปีนี้
การค้าในจีนคิดเป็นมูลค่า 9 ล้านล้านหยวนและในปี 2020 คาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 12 ล้านล้านหยวน
นายสนธิรัตน์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลจีนให้ความสำคัญและสนับสนุนทั้งการออกกฎระเบียบอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ
เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษีต่างๆ เริ่มปีค.ศ. 2019 ด้วยการยกเว้นภาษีศุลกากรให้กับผู้บริโภคสำหรับการสั่งซื้อสินค้าที่ผ่านทาง
CBEC Platform ในการสั่งซื้อต่อครั้งไม่เกิน 5,000 หยวน และยอดสั่งซื้อรวมทั้งปีไม่เกิน 26,000
หยวนหรือประมาณ 123,000 บาท (De Minimis Value) รวมทั้งเรียกเก็บภาษี VAT
และภาษีสรรพสามิตร้อยละ 70 ของอัตราปกติ
ทำให้ผู้ขายมีต้นทุนราคาขายต่ำกว่าช่องทางอื่นถึงร้อยละ 20-50
ประกอบกับการเพิ่มรายการสินค้าที่อยู่ใน CBEC เป็น 1,300 รายการ
และการลดกฎระเบียบขั้นตอนการนำเข้า-ส่งออกและวางระบบฐานข้อมูลที่ชัดเจน
ทำให้ผู้ซื้อได้รับสินค้าภายใน 3-7 วัน แทนการค้าออนไลน์ปกติที่จะใช้เวลานานถึง
15 วัน
สำหรับเอสเอ็มอีที่มีสินค้าที่มีคุณภาพ
และต้องการสร้างแบรนด์ให้เข้มแข็งในตลาดจีน ก็สามารถติดตามรายละเอียดกิจกรรมต่างๆ
และสามารถสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกผู้ขายบนเว็บไซต์ Thaitrade.com และเว็บไซต์เครือข่ายพันธมิตรต่างๆ
ของกระทรวงพาณิชย์เพื่อเตรียมความพร้อมในการขยายโอกาสทางการค้าสู่ระดับสากลต่อไป.-สำนักข่าวไทย