สิงคโปร์ 13 พ.ย. – นายกฯ แสดงวิสัยทัศน์เวทีประชุมสุดยอดธุรกิจและการลงทุนอาเซียน ย้ำ อาเซียนเป็นหนึ่งเดียว คือหัวใจของการเติบโตทางธุรกิจ-การลงทุน ให้คำมั่นในฐานะประธานอาเซียน ปี 2019 จะสานต่อความเชื่อมโยงระหว่างอาเซียน เพื่อความโดดเด่น ในด้านการค้าการลงทุน พร้อมเชิญชวนภาครัฐและเอกชนร่วมประสานจุดแข็งและศักยภาพ มุ่งสู่อาเซียนที่เป็นหนึ่งเดียว
“จิตตานันท์ นิกรยานนท์” ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทย ที่ติดตามภารกิจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 33 ที่สาธารณรัฐสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 13-15 พฤศจิกายน รายงานว่า นายกรัฐมนตรีได้แสดงวิสัยทัศน์ในการประชุมสุดยอดธุรกิจและการลงทุนอาเซียน (ASEAN Business and Investment Summit :ABIS) ในหัวข้อ “ธุรกิจและการลงทุนในประเทศไทยและอาเซียน” ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมมารีนา เบย์ แซนดส์
นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งว่า ภูมิภาคอาเซียนมีความสัมพันธ์ฉันท์มิตรมายาวนานค่อนศตวรรษ มีความร่วมมือร่วมใจและรวมกันเป็นหนึ่ง ทำให้อาเซียนเป็นภูมิภาคที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินธุรกิจ หรือการลงทุนมากที่สุดในโลก ตัวเลขการค้าและการลงทุนของอาเซียนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี สะท้อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และความเชื่อมโยงในภูมิภาค รวมทั้ง ยังแสดงถึงความเชื่อมั่นของนักธุรกิจและนักลงทุน ทั้งภายในและภายนอกที่มีต่ออาเซียน
นายกรัฐมนตรี ขอบคุณภาคเอกชน ที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งเสริมสร้างภูมิภาคอาเซียนให้เข้มแข็งและมั่งคั่งยิ่งขึ้น ขณะที่ ภาครัฐมีหน้าที่สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และช่วยอำนวยความสะดวกให้ภาคเอกชน สภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน จึงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ในการสนับสนุนการบูรณาการทางเศรษฐกิจของอาเซียน เพื่อให้ภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการออกกฎระเบียบและนโยบาย ได้มุมมองจากอีกด้าน ในการสนับสนุนการค้า และการลงทุนให้เกิดผลดีต่อทุกฝ่าย และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง
“หัวใจสำคัญของการเติบโตทางธุรกิจ และการลงทุนของอาเซียน คือ การก้าวเข้าสู่การเป็นหนึ่งเดียว และเชื่อมโยงกันภายในภูมิภาคอย่างไร้รอยต่อโดยสมบูรณ์ ซึ่งจะส่งเสริมให้เกิดความสามารถในการแข่งขัน สนับสนุนให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม และสร้างความรู้สึกเป็นประชาคมเดียวกันมากยิ่งขึ้น ภายใต้แผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน ค.ศ. 2025 (Master Plan on ASEAN Connectivity 2025: MPAC 2025)” นายกรับมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย ได้นำแผนแม่บทดังกล่าว มาใช้ในการพัฒนาประเทศ โดยการปฏิรูป 3 ด้านหลักๆ ที่ไทยกำลังดำเนินการอยู่ คือ การปฏิรูปกฎหมายและอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ การผลักดันประเทศด้วยนวัตกรรมดิจิทัล และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ จึงขอเชิญชวนภาคเอกชนมาร่วมลงทุนในโครงการต่างๆ โดยเฉพาะในพื้นที่อีอีซี และเมื่อโครงการเหล่านี้สำเร็จลุล่วง จะทำให้การเชื่อมโยงโลจิสติกส์กับประเทศในภูมิภาคอาเซียนแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่ประเทศไทยได้รับเกียรติอย่างสูง ให้ดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน ในปี 2019 ต่อจากประเทศสิงคโปร์ ขอให้คำมั่นว่าสานต่อการเชื่อมโยงระหว่างอาเซียน ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ธุรกิจและการลงทุนของภูมิภาคอาเซียน และให้อาเซียนเป็นเป้าหมายที่โดดเด่น ในด้านการค้าการลงทุนสำหรับนักธุรกิจและนักลงทุนทั่วโลก
“ขอเชิญชวนภาครัฐและเอกชน มาร่วมประสานจุดแข็งและศักยภาพ เพื่อมุ่งสู่อาเซียนที่เป็นหนึ่งเดียว อาเซียนที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกันอย่างเข้มแข็ง ยั่งยืน และครอบคลุม และอาเซียนที่จะเป็นพลวัตขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจโลก โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และมองไปสู่อนาคต” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังกล่าวสุนทรพจน์จบ นายกรัฐมนตรีเดินลงจากเวที บรรดาผู้เข้าร่วมฟังการแสดงวิสัยทัศน์ครั้งนี้ ได้เข้ามารุมล้อมนายกรัฐมนตรีและถ่ายภาพด้วยจำนวนมาก ..- สำนักข่าวไทย