กองทัพบก 16 ต.ค.-“พล.อ.อภิรัชต์” ประชุมสำนักงานเลขาธิการ คสช. ย้ำน้อมนำและสานต่อแนวทางจิตอาสาพระราชทานเพื่อสร้างประโยชน์ต่อประชาชน พร้อมขอบคุณทุกหน่วยงานที่ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ลั่นยาเสพติดและอาวุธสงครามเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้
พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า จากการประชุมสำนักเลขาธิการ คสช. ประจำสัปดาห์นี้ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบกและในฐานะเลขาธิการ คสช.ได้ย้ำเจตนารมณ์ในการน้อมนำและสานต่อแนวทางจิตอาสาพระราชทาน เพื่อสร้างประโยชน์ต่อประชาชน ชุมชน และประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยกำชับให้กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) เป็นแกนกลางในการวางแผนงานและจัดกิจกรรมร่วมกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการระดมศักยภาพของส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน ให้เข้ามาช่วยกันขับเคลื่อนงานจิตอาสา เกิดความร่วมแรงร่วมใจในการพัฒนาพื้นที่ ยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนให้มีทิศทางที่ชัดเจนและยั่งยืนต่อไป
รองโฆษก คสช. กล่าวอีกว่า เลขาธิการ คสช.ได้กล่าวถึงความห่วงใยของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ในเรื่องการลักลอบนำเข้าสินค้าและผลิตผลทางการเกษตรจากนอกประเทศ ที่อาจส่งผลกระทบต่อกลไกทางการตลาดภายในประเทศ ทำให้เกษตรกรไทยได้รับความเดือดร้อน โดยมอบหมายให้ กกล.รส.เข้มงวดในมาตรการป้องกัน ตรวจสอบอย่างเข้มงวด พร้อมสกัดกั้นไม่ให้มีการนำสินค้าและผลิตผลทางการเกษตรจากนอกประเทศเข้ามาในประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน ช่องทางเข้า-ออกตามธรรมชาติ และให้ถือเป็นนโยบายที่สำคัญที่จะต้องดำเนินการต่อเนื่อง
“พล.อ.อภิรัชต์ ได้ขอบคุณหน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และกองทัพภาคที่ 3 ที่จับยาเสพติดได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้การปราบปรามยาเสพติดเกิดผลสัมฤทธิ์ สามารถป้องปรามและขจัดปัญหาได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ เลขาธิการ คสช. ระบุด้วยว่า ยาเสพติดและอาวุธสงครามเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ และจะต้องมีการแก้ไขในทุกมิติ โดยกำชับให้เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงให้ความสำคัญกับการติดตามผลทางคดีที่เกี่ยวเนื่องกับยาเสพติดและอาวุธสงคราม โดยเฉพาะความคืบหน้าของกระบวนการหลังการจับกุมว่าสามารถสืบค้น ขยายผลไปถึงผู้ต้องหาหรือขบวนการอันเป็นต้นตอของการกระทำผิดกฎหมายให้ได้ครบถ้วน เพื่อให้การปราบปรามขบวนการผิดกฎหมายมีความสมบูรณ์ และสามารถขจัดปัญหาดังกล่าวให้หมดไปได้อย่างสิ้นเชิง” พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าว.-สำนักข่าวไทย